ตั้งแต่ซูมู่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นกาฬโรค หัวใจของจื่ออันก็ไม่เคยสงบเลย นางจึงนอนไม่หลับ เนื่องจากกังวลเกินไป
แม้คนอื่นไม่รู้ถึงความร้ายแรงของกาฬโรค แต่นางรู้ดี
ในขณะที่เรียนวิชาการแพทย์ นางต้องศึกษาเกี่ยวกับโรคระบาด ดังนั้นจึงได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับกาฬโรคมาบ้าง
กาฬโรคเป็นโรคระบาดที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก
จื่ออันต้องการปรับเปลี่ยนใบสั่งยา ดังนั้นนางจึงใช้เวลาทั้งคืน เพื่ออ่านตำราทางการแพทย์ที่นำติดตัวมาจากภูเขาน้ำแข็ง
โหรวเหยามาพบจื่ออันในยามพลบค่ำ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยุ่งมาก นางจึงปลีกตัวออกไปอย่างเงียบ ๆ แต่จื่ออันหยุดเอาไว้ก่อน “โหรวเหยา ท่านมาถูกเวลาพอดี มาช่วยข้าตรวจดูหน่อยสิ”ง
“ท่านอยากให้ข้าตรวจดูหรือ?” โหรวเหยาประหลาดใจ
“ใช่แล้ว หลายคนหลายตา ท่านหมอเวินอี้สามารถรักษาโรคได้หลายโรค บางทีเขาอาจจะบันทึกวิธีรักษากาฬโรคไว้ก็เป็นได้” จื่ออันกล่าว วิธีการรักษาสมัยใหม่สำหรับกาฬโรคไม่ได้ผลเมื่ออยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงทำได้เพียงรักษาตามการแพทย์แผนจีน ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมาก
“แต่ตำราเล่มนี้ ท่านหมอเวินอี้เป็นคนมอบให้ท่าน หากท่านให้ข้าอ่าน มันจะ...”
จื่ออันตอบ “เหตุใดถึงคิดเช่นนั้น? การเรียนรู้ทางการแพทย์ไม่ควรถูกปิดกั้น หากไม่มีการสื่อสาร แล้วจะส่งต่อทักษะทางการแพทย์ได้อย่างไร?”
โหรวเหยายิ้ม “หลายสำนักในยุทธภพมักจะไม่ส่งต่อวิชาทางการแพทย์ให้ผู้อื่นสุ่มสี่สุ่มห้า”
“มันต่างกับศิลปะการต่อสู้อย่างไร? หากคนไม่ดีฝึกศิลปะการต่อสู้ ก็อาจมีอันตรายต่อผู้อื่น แต่วิชาการแพทย์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผู้ที่เรียนการแพทย์ส่วนใหญ่คิดว่าการช่วยชีวิตผู้อื่นเป็นหน้าที่ ดังนั้นผู้ที่ใช้วิชาการแพทย์ในการทำร้ายผู้อื่นจึงหายาก เว้นเสียแต่ใช้ยาพิษ”
“ข้าเห็นด้วย” โหรวเหยาสัมผัสได้ว่าจื่ออันเป็นคนใจกว้าง นางจึงนั่งลง “ท่านช่วยอธิบายอาการของกาฬโรคให้ข้าฟังหน่อย บางทีท่านหมอเวินอี้อาจจะไม่ใช้คำว่ากาฬโรคกระมัง?”
“ท่านสามารถตรวจสอบได้จากคำว่ากาฬโรค หรือโรคระบาด”
“ท่านแน่ใจหรือ? ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับโรคระบาดและกาฬโรคมาก่อนเลย”
“เพราะว่า...” จื่ออันเกือบจะหลุดปากว่าตนมาจากยุคปัจจุบัน “ท่านไม่เคยได้ยินชื่อโรคนี้มาก่อน แต่ข้าเคยได้ยิน ตั้งแต่โรคนี้ยังไม่มีชื่อเรียก ท่านหมอเวินอี้มีความรู้มากมาย และรักษาผู้ป่วยมานับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจะต้องรู้แน่นอน”
“เอาล่ะ เรามาเริ่มตรวจสอบกันดีกว่า” โหรวเหยากล่าว
การค้นหาข้อมูลในตำราเป็นเรื่องยาก ตำราหลายเล่มมีเนื้อหาเกี่ยวกับโรคพิเศษที่เวินอี้เคยทำการรักษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลายมือของเขาเอง แม้ว่าตัวอักษรจะสวยงาม แต่ลายมือของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป ซึ่งเวินอี้ใช้อักษรจีนที่เป็นตัวย่อในการบันทึก ดังนั้นโหรวเหยาจึงรู้สึกอึดอัดใจเมื่อต้องอ่านมัน
“พักก่อนเถิด”
หลังจากค้นหาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม จื่ออันก็สังเกตเห็นว่าดวงตาของโหรวเหยาเปลี่ยนเป็นสีแดง นางจึงรินชาและขอให้อีกฝ่ายพักผ่อนก่อน
โหรวเหยาขยี้ตา “ซูมู่ติดเชื้อจริงหรือไม่?”
“ข้าสงสัยว่าจะเป็นเช่นนั้น” จื่ออันถอนหายใจขณะขมวดคิ้ว
“สิ่งเลวร้ายมักเกิดขึ้นติดต่อกัน”
“อาการของเขายังไม่รุนแรงนัก ข้าจึงหวังว่ายาของข้าจะได้ผลกับเขา” จื่ออันกล่าว
“อืม โรคนี้รุนแรงอย่างมาก ข้าไม่เคยพบเห็นมันมาก่อนเลยในชีวิต” โหรวเหยากล่าวพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “อย่างไรก็ตาม ข้าไม่เคยเห็นคนป่วยมากมายขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน และผู้ป่วยบางคนที่ข้ารักษาก็ได้ตายไปแล้ว ซึ่งข้าพยายามอย่างหนักเพื่อช่วยชีวิตพวกเขา แต่สุดท้ายข้าก็ไม่อาจทำได้”
จื่ออันมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับการรักษา “มนุษย์ต้องเผชิญการเกิดแก่เจ็บตาย บางครั้งความพยายามของเราอาจไม่มากพอสำหรับการรักษาผู้คน”
โหรวเหยามองนาง “จื่ออัน เหตุใดท่านถึงอยากเรียนแพทย์เล่า?”
นี่คือคำถามที่อันลึกซึ้งที่เรียกได้ว่าสามารถประเมินจิตใจคนอื่นได้
“แล้วท่านเล่า เหตุใดถึงอยากเรียนแพทย์?” จื่ออันถาม
“ข้าต้องการช่วยผู้คน แต่ซุนฟางเอ๋อร์กลับใช้มันทำร้ายผู้คน ดังนั้นข้าต้องการช่วยคนอื่น และชดใช้บาปของนาง” โหรวเหยาเผยความในใจ
จื่ออันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้มีความคิดสูงส่งเหมือนท่าน ข้าเลือกเรียนแพทย์เพราะข้าคิดว่าอาชีพหมอสามารถหาเงินได้”
“หา? หาเงิน?” โหรวเหยาอึ้งงัน
จื่ออันเงียบไปชั่วครู่ก่อนแล้วคลี่ยิ้ม “ข้าล้อเล่นน่ะ ท่านเคยได้ยินหรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์
โอโย่คู่ตัวร้าย...
อ๋องเหลียงน่ะถูกแล้ว ไม่ใช่จักรพรรดิเหลียง...
สามีภรรยาคู่นี้ จะมีช่วงเวลาสงบสุขดีดีบ้างไม่ได้เลยหรือไงกัน สงสารอ่า...