หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำ เธอก็รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา
ในขณะนี้เองที่เสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น เอวาไม่ต้องการใช้เวลากับผู้หญิงคนนี้อีกต่อไป เธอจึงออกไปเปิดประตู
หลังจากที่เปิดประตู เธอก็เห็นว่านั่นคือเมเดลีน
“แมดดี้ ทำไมเธอมาหาฉันที่นี่ล่ะ?” เอวารู้สึกประหลาดใจ
เมเดลีนรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเอวา “แดนบอกว่าเธอปิดโทรศัพท์ เขาเลยเป็นห่วง ฉันอยู่แถว ๆ นี้อยู่แล้วก็เลยรีบแวะมาหาน่ะ”
“เอวา ลูกมีเพื่อนแล้ว ตอนนี้แม่ว่าแม่ควรจะกลับก่อน” เธอไม่ได้บังคับเอวาอีกต่อไป จากนั้นเธอก็จากไปหลังจากชำเลืองมองเมเดลีน
เมเดลีนเดาไว้ว่าผู้หญิงจากสนามบินครั้งล่าสุดคือแม่ของเอวา แต่เธอไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
เธอรู้จักเอวามาหลายปีแล้ว และตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอคิดว่าเอวาเป็นเด็กกำพร้าเหมือนเธอมาโดยตลอด
เมื่อเธอถามเอวาเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว เอวาก็จะหลีกเลี่ยงด้วยรอยยิ้มราวกับว่าเธอไม่ต้องการจะพูดถึง
แต่จากที่ดูตอนนี้ ดูเหมือนมันจะไม่ใช่อย่างที่คิดเลยสักนิด
เอวาหันกลับมาและหยิบน้ำผลไม้ออกมาสองกระป๋องก่อนจะนั่งลงบนโซฟาอย่างเกียจคร้าน
“เธอคงสับสนใช่ไหมแมดดี้? ว่าฉันไปมีแม่เป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของเมืองวายตั้งแต่เมื่อไร?”
“...”
หลังจากเอวาพูดแบบนั้น เมเดลีนก็ตกตะลึงไป
ทว่าหลังจากที่เอวาดื่มน้ำผลไม้เข้าไป เธอก็เริ่มร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง “แมดดี้ ถ้าตอนนั้นฉันสามารถติดต่อกับแม่ผู้ร่ำรวยของฉันได้ เธอก็คงไม่จำเป็นต้องไปขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไนท์คลับ และถูกเมเรดิธทำให้อับอายขายหน้า”
เมเดลีนกอดเอวาไว้ “ยัยบื้อ นั่นมันอดีตไปแล้วนะ อีกอย่างฉันรู้ว่าเธอพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยฉันมาตลอด เอวา เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันนะ”
“แมดดี้…” เอวายังคงเรียกเมเดลีนด้วยชื่อที่คุ้นเคย
เมเดลีนลูบไหล่ของเอวา และในตอนที่เธอกำลังจะถามเกี่ยวกับครอบครัวของแดเนียลโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
เมเดลีนดูชื่อของคนที่โทรมาและเห็นว่ามันเป็นสายที่มาจากเจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการเมื่อคืนนี้
เธอมาที่ห้องแล็บในเมืองเกลนเดล จากนั้น ดร.กอร์ดอน เจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการก็พาเธอไปที่ห้องแล็บ
เมเดลีนไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจข้อมูลอันซับซ้อนพวกนี้มากนัก เธอจึงถามว่า “ดร.กอร์ดอนคะ คุณตรวจพบอะไรในเลือดกันแน่?”
ดร.กอร์ดอนหยิบชุดข้อมูลออกมาและพูดศัพท์เทคนิคบางอย่างที่เมเดลีนไม่เข้าใจจริง ๆ นอกจากนั้นกว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดขึ้นมาก็คือหลังจากนั้นไปแล้ว
“ปกติมันเป็นสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย” เขากล่าว “จากผลการวิเคราะห์มันมีส่วนประกอบที่หายากมาก มันจะไม่ฆ่าคนโดยตรง แต่จะทรมานคนคนนั้นอย่างช้า ๆ ครับ
“ตัวอย่างเช่น พวกเขาจะประสาทหลอนและรู้สึกสับสน บางครั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไร และในที่สุดพิษก็จะซึมเข้าสู่กระแสเลือด และเซลล์ก็จะสร้างปัญหาให้กับหัวใจจนในที่สุดยีนส์ของบุคคลนั้นก็อาจกลายพันธุ์ไปได้”
“การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมเหรอคะ?” เมเดลีนรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ เธอไม่รู้ว่ามีสิ่งที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่
ดังนั้น เมเดลีนจึงคิดถึงความเป็นไปได้
“หากมีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม ก็หมายความว่ากรุ๊ปเลือดของพวกเขาจะเปลี่ยนไปด้วยหรือเปล่าคะ?” เธอถามอย่างใจเย็น แต่หัวใจกลับกำลังเต้นแรง
“ผมกำลังจะบอกเรื่องนี้กับคุณพอดี” ดร.กอร์ดอนนำข้อมูลอีกชุดหนึ่งออกมา “ที่ผมบอกคุณทางโทรศัพท์เมื่อคืนนี้ว่ากรุ๊ปเลือดของคนคนนี้คือเอ แต่หลังจากการค้นคว้าเมื่อเช้านี้ ดูเหมือนว่ากรุ๊ปเลือดดั้งเดิมของเขาคนนี้น่าจะเป็นเอบี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงวิวาห์ ภรรยาตราบาป พันธะร้าย เจ้าสาวสีดำ
1...
1...
1...
นางเอกโคตรโง่เลย เชื่อผู้ชายคนนี้ได้ไง ก็รู้อยู่ว่าเขานิสัยไม่ดีและจะแย่งตัวเองมาจากสามี ดันไปเชื่อมัน เอายามาแอบฉีดให้สามีเฉยเลย แทนที่จะปรึกษากันก่อน...
ต่อให้ทำผิดแล้วก็ไม่ควรให้อภัยอ่ะ เพราะมันเลวมาก รู้ว่านังเมอร์ทำชั่ว แต่ก็ช่วยปกปิดสารพัด ขนาดฆ่าคนตาย ยังยึดหลักฐานไป ปล่อย ห้นางเอกรับโทษแทนตั้งสามปี ไม่เคยมาดูดำดูดี พอออกมาได้ก็ยังทุบตีสารพัด ไม่เข้าใจว่านางเอกจะกลับมารักได้ไง...
หวาดเสียวว่านางเอกจะกลับมารักสามีเก่า โอ่ย ไม่ไหวนะ ต้องท่องไว้ว่ามันทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจไว้หนักหนาสาหัส ทำลูกตายด้วยนะ ทำลายหลุมศพปู่กับลูกอีก...
ทำไมไม่เอาหลักฐานให้ลุง ลุงเป็นคนดี ต้องเชื่ออน่นอน มีอำนาจด้วย ช่วยคุยกับตำรวจได้...
อ้าว รีบบอกพ่อแม่สิ จะปล่อยอีชั่วนี่ไว้กับพ่อแม่ได้ไง...
เรื่องนี้อ่านแล้วโคตรโมโห นางเอกน่าจะฆ่าแม่งให้หมดทุกตัวเลย อย่าให้เป็นว่ายกโทษให้สามีนะ...
อย่าได้กลับไปอยู่กับสามีเลย ชั่วช้าขนาดนั้น ต้องแก้แค้นให้สาสม...