“หมอเฉิน ฉันก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง”เธอสูดลมหายใจเข้าอย่างอัดอั้น “แม้ว่านายจะคิดว่าฉันมีบางความคิดอะไรอยู่ก็ตาม แต่นายก็ไม่ควรพูดแบบนั้นออกมารึเปล่า”
สวีซุ่ยหนิงไม่ได้เสียใจ การท้องหรือไม่ท้องสำหรับเธอไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะยังไงเธอก็ไม่ใช่คนที่จะสืบทอดทายาทให้ตระกูล เธอแค่คิดว่าคำพูดของซูเล่อฉีน่าระคายเคืองหู
สวีซุ่ยหนิงก็เป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยคนหนึ่ง เธอนุ่มนวลและอ่อนโยนไม่สามารถที่จะไปทะเลาะกับใครได้ แต่เพื่อที่จะไม่ให้ตนต้องเสียเปรียบ เธอจึงต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอ
เฉินลู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงบางเบา “ไม่มีเจตนาจะล่วงเกิน ขอโทษด้วย”
ซูเล่อฉีไม่อยากให้เฉินลู่มีความประทับใจที่ไม่ดีต่อเธอ จึงขอโทษพร้อมกับเขา “ฉันอยู่ในประเทศได้ไม่นาน คือฉันหมายความว่าอยากให้คุณดูและรักษาสุขภาพให้ดี แต่คำพูดอาจจะสื่อความหมายผิดไป ขอโทษด้วยนะ”
สวีซุ่ยหนิงคิดกับตัวเอง เธอสามารถพูดกลับคำได้ขนาดนี้ ยังจะบอกว่าภาษาจีนของตัวเองไม่ดีอีกเหรอ
เธอลังเลเล็กน้อย ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะต้องพูดเสแสร้งอีกสักหน่อยไหม แต่เฉินลู่ชำเลืองมองเธอครั้งหนึ่งอย่างรู้ทัน และพูดต่ออย่างไม่เป็นทางการ “เธอไม่ได้ตั้งใจน่ะ”
หึ
เข้าข้างกันจริง
ช่างไร้ประโยชน์ที่จะแสร้งทำเป็นอ่อนแอ ถ้าจะพบกับสองมาตรฐานเช่นนี้
สวีซุ่ยหนิงรู้สึกเศร้าใจไม่น้อย เธอกับเฉินลู่ไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ยังไม่เคยเห็นเขาจะดีต่อตัวเธอเลยแม้สักครึ่ง เธอคงมีประสบการณ์น้อยไป พิษในตอนนี้ทำให้เธอรู้แจ้งแล้วว่า การเอาตัวเองใส่พานแล้วให้เขาใช่ว่าจะถูกทะนุถนอม
แต่เธอก็ยังคงต้องการจะทิ่มแทงเฉินลู่ด้วยคำพูดสักสองสามคำ แต่เขาไม่เหมือนกับเจียงเจ๋อ เฉินลู่คนนี้ ถ้าไม่ถูกใจอะไรเขาก็จะสลัดสิ่งรกตานั้นทิ้งทันที
สวีซุ่ยหนิงยังไม่ค่อยอยากที่จะลงโทษเขา
“ไม่เป็นไร” เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน “เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้นก็ไม่เป็นไร ลาก่อนค่ะหมอเฉิน”
การจากลาครั้งนี้ คงเป็นครั้งที่ต้องยอมละทิ้งแล้วจริงๆ ต่อไปเกรงว่าคงไม่มีอะไรที่ต้องติดต่อกันอีก
ซูเล่อฉีมองตามหลังของสวีซุ่ยหนิงไป “เฉินลู่ ผู้หญิงคนนี้ธรรมดามาก คุณไปเห็นอะไรในตัวเธอเหรอ”
“ไม่ได้เห็นอะไร” เฉินลู่เก็บผลตรวจของสวีซุ่ยหนิงลงในกระเป๋าอย่างไม่ได้สนใจอะไร
นั่นก็แค่ของเล่น
“ผมไม่ใช่คนดีอะไร คนธรรมดารั้งผมไม่ได้หรอก” เฉินลู่พูดออกไปอย่างใจลอย “ถ้าคุณกลัวจะเสียใจ ก็อยู่ให้ห่างผมจะดีกว่า”
ซูเล่อฉีหัวเราะ “เฉินลู่ คุณดูถูกฉันเกินไปแล้วนะ ฉันเก่งเรื่องกำราบพวกพ่อปลาไหล พอถึงตอนนั้น คุณอย่ามาขาดฉันไม่ได้แล้วกัน”
……
สวีซุ่ยหนิงเพิ่งกลับขึ้นรถ จางอวี้ก็พูดขึ้นทันที “ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหม ว่าอย่าไปยั่วโมโหเฉินลู่”
“ก็ฉันไม่มีหนทางอื่นแล้ว ใครใช้ให้เธอบอกว่าเจียงเจ๋อกลัวเขาล่ะ ฉันทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเจียงเจ๋อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ทุกวัน” สวีซุ่ยหนิงพูดพลางขมวดคิ้วอย่างเหลืออด
“แต่เธอยังกล้ายกเรื่องลูกขึ้นมาพูดต่อหน้าเขานะ” จางอวี้พูด “เธอไม่รู้เหรอว่าเฉินลู่เคยรับปากกับแฟนเก่าเขาไว้ว่า ต่อไปคนที่จะมีลูกให้เขาจะต้องเป็นแค่แฟนเก่าเขาเท่านั้น”
สวีซุ่ยหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง “แฟนเก่าเขาเก่งจริงๆ ที่สามารถทำให้เขาเชื่องได้ขนาดนี้”
จางอวี้พูดต่อ “เธอก็เคยนอนกับเฉินลู่มาแล้ว เธอเคยเห็นรอยสักนกอินทรีที่เอวของเขาไหม
สวีซุ่ยหนิงเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ทันที รอยสักนั้นน่าจะอยู่ที่เอวซ้ายของเขา เธอยังเคยรู้สึกว่ารอยสักนั้นเซ็กซี่มาก ที่ให้ทั้งความรู้สึกอ่อนโยนและป่าเถื่อนขึ้นมา “รอยสักทำไมเหรอ”
จางอวี้พูดเสริมกระตุ้นให้ยิ่งสนใจ “นั่นเป็นรอยสักที่แฟนเก่าของเขาสักให้เองกับมือ แฟนเก่าเขาเป็นช่างสักที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งเลยนะ เธอน่ะร้ายมาก จนเฉินลู่เองก็ยังควบคุมไม่ได้เลย
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงแฟนเก่าเขาต่อหน้าฉันแล้วล่ะ พอได้ยินในใจก็เหมือนอกหักแล้ว” เพราะยังไงเฉินลู่ก็เป็นผู้ชายคนแรกของสวีซุ่ยหนิง
ปรากฏว่าผู้ชายที่หักอกเธอ ร้ายกับคนทั้งโลก แต่ใจดีกับผู้หญิงแค่คนเดียว เธอได้ยินแล้วอิจฉามากจริงๆ
จางอวี้ยักไหล่ “ต่อหน้าเขาเธอดูอ่อนโยน ไม่แปลกใจเลยที่ทำให้เขามีเซ็กส์กับเธอได้”
แล้วยังไงล่ะ
เฉินลู่ก็ยังไม่ใช่คนในโลกความเป็นจริง
เธออยู่แต่บ้านติดต่อกันมาตลอดสองวัน ถึงได้รู้สึกว่าเธอไม่ได้เป็นทุกข์กับการเล่นงานที่เฉินลู่ทำกับเธอไว้แล้ว
สวีซุ่ยหนิงเลื่อนคลิปดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นข้อความแจ้งเตือนว่าใกล้ถึงวันเกิดของจางอวี้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...