เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน นิยาย บท 10

“หมอเฉิน ฉันก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง”เธอสูดลมหายใจเข้าอย่างอัดอั้น “แม้ว่านายจะคิดว่าฉันมีบางความคิดอะไรอยู่ก็ตาม แต่นายก็ไม่ควรพูดแบบนั้นออกมารึเปล่า”

สวีซุ่ยหนิงไม่ได้เสียใจ การท้องหรือไม่ท้องสำหรับเธอไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะยังไงเธอก็ไม่ใช่คนที่จะสืบทอดทายาทให้ตระกูล เธอแค่คิดว่าคำพูดของซูเล่อฉีน่าระคายเคืองหู

สวีซุ่ยหนิงก็เป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยคนหนึ่ง เธอนุ่มนวลและอ่อนโยนไม่สามารถที่จะไปทะเลาะกับใครได้ แต่เพื่อที่จะไม่ให้ตนต้องเสียเปรียบ เธอจึงต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอ

เฉินลู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงบางเบา “ไม่มีเจตนาจะล่วงเกิน ขอโทษด้วย”

ซูเล่อฉีไม่อยากให้เฉินลู่มีความประทับใจที่ไม่ดีต่อเธอ จึงขอโทษพร้อมกับเขา “ฉันอยู่ในประเทศได้ไม่นาน คือฉันหมายความว่าอยากให้คุณดูและรักษาสุขภาพให้ดี แต่คำพูดอาจจะสื่อความหมายผิดไป ขอโทษด้วยนะ”

สวีซุ่ยหนิงคิดกับตัวเอง เธอสามารถพูดกลับคำได้ขนาดนี้ ยังจะบอกว่าภาษาจีนของตัวเองไม่ดีอีกเหรอ

เธอลังเลเล็กน้อย ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะต้องพูดเสแสร้งอีกสักหน่อยไหม แต่เฉินลู่ชำเลืองมองเธอครั้งหนึ่งอย่างรู้ทัน และพูดต่ออย่างไม่เป็นทางการ “เธอไม่ได้ตั้งใจน่ะ”

หึ

เข้าข้างกันจริง

ช่างไร้ประโยชน์ที่จะแสร้งทำเป็นอ่อนแอ ถ้าจะพบกับสองมาตรฐานเช่นนี้

สวีซุ่ยหนิงรู้สึกเศร้าใจไม่น้อย เธอกับเฉินลู่ไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ยังไม่เคยเห็นเขาจะดีต่อตัวเธอเลยแม้สักครึ่ง เธอคงมีประสบการณ์น้อยไป พิษในตอนนี้ทำให้เธอรู้แจ้งแล้วว่า การเอาตัวเองใส่พานแล้วให้เขาใช่ว่าจะถูกทะนุถนอม

แต่เธอก็ยังคงต้องการจะทิ่มแทงเฉินลู่ด้วยคำพูดสักสองสามคำ แต่เขาไม่เหมือนกับเจียงเจ๋อ เฉินลู่คนนี้ ถ้าไม่ถูกใจอะไรเขาก็จะสลัดสิ่งรกตานั้นทิ้งทันที

สวีซุ่ยหนิงยังไม่ค่อยอยากที่จะลงโทษเขา

“ไม่เป็นไร” เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน “เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้นก็ไม่เป็นไร ลาก่อนค่ะหมอเฉิน”

การจากลาครั้งนี้ คงเป็นครั้งที่ต้องยอมละทิ้งแล้วจริงๆ ต่อไปเกรงว่าคงไม่มีอะไรที่ต้องติดต่อกันอีก

ซูเล่อฉีมองตามหลังของสวีซุ่ยหนิงไป “เฉินลู่ ผู้หญิงคนนี้ธรรมดามาก คุณไปเห็นอะไรในตัวเธอเหรอ”

“ไม่ได้เห็นอะไร” เฉินลู่เก็บผลตรวจของสวีซุ่ยหนิงลงในกระเป๋าอย่างไม่ได้สนใจอะไร

นั่นก็แค่ของเล่น

“ผมไม่ใช่คนดีอะไร คนธรรมดารั้งผมไม่ได้หรอก” เฉินลู่พูดออกไปอย่างใจลอย “ถ้าคุณกลัวจะเสียใจ ก็อยู่ให้ห่างผมจะดีกว่า”

ซูเล่อฉีหัวเราะ “เฉินลู่ คุณดูถูกฉันเกินไปแล้วนะ ฉันเก่งเรื่องกำราบพวกพ่อปลาไหล พอถึงตอนนั้น คุณอย่ามาขาดฉันไม่ได้แล้วกัน”

……

สวีซุ่ยหนิงเพิ่งกลับขึ้นรถ จางอวี้ก็พูดขึ้นทันที “ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหม ว่าอย่าไปยั่วโมโหเฉินลู่”

“ก็ฉันไม่มีหนทางอื่นแล้ว ใครใช้ให้เธอบอกว่าเจียงเจ๋อกลัวเขาล่ะ ฉันทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเจียงเจ๋อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ทุกวัน” สวีซุ่ยหนิงพูดพลางขมวดคิ้วอย่างเหลืออด

“แต่เธอยังกล้ายกเรื่องลูกขึ้นมาพูดต่อหน้าเขานะ” จางอวี้พูด “เธอไม่รู้เหรอว่าเฉินลู่เคยรับปากกับแฟนเก่าเขาไว้ว่า ต่อไปคนที่จะมีลูกให้เขาจะต้องเป็นแค่แฟนเก่าเขาเท่านั้น”

สวีซุ่ยหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง “แฟนเก่าเขาเก่งจริงๆ ที่สามารถทำให้เขาเชื่องได้ขนาดนี้”

จางอวี้พูดต่อ “เธอก็เคยนอนกับเฉินลู่มาแล้ว เธอเคยเห็นรอยสักนกอินทรีที่เอวของเขาไหม

สวีซุ่ยหนิงเหมือนจะนึกขึ้นมาได้ทันที รอยสักนั้นน่าจะอยู่ที่เอวซ้ายของเขา เธอยังเคยรู้สึกว่ารอยสักนั้นเซ็กซี่มาก ที่ให้ทั้งความรู้สึกอ่อนโยนและป่าเถื่อนขึ้นมา “รอยสักทำไมเหรอ”

จางอวี้พูดเสริมกระตุ้นให้ยิ่งสนใจ “นั่นเป็นรอยสักที่แฟนเก่าของเขาสักให้เองกับมือ แฟนเก่าเขาเป็นช่างสักที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งเลยนะ เธอน่ะร้ายมาก จนเฉินลู่เองก็ยังควบคุมไม่ได้เลย

“พอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงแฟนเก่าเขาต่อหน้าฉันแล้วล่ะ พอได้ยินในใจก็เหมือนอกหักแล้ว” เพราะยังไงเฉินลู่ก็เป็นผู้ชายคนแรกของสวีซุ่ยหนิง

ปรากฏว่าผู้ชายที่หักอกเธอ ร้ายกับคนทั้งโลก แต่ใจดีกับผู้หญิงแค่คนเดียว เธอได้ยินแล้วอิจฉามากจริงๆ

จางอวี้ยักไหล่ “ต่อหน้าเขาเธอดูอ่อนโยน ไม่แปลกใจเลยที่ทำให้เขามีเซ็กส์กับเธอได้”

แล้วยังไงล่ะ

เฉินลู่ก็ยังไม่ใช่คนในโลกความเป็นจริง

เธออยู่แต่บ้านติดต่อกันมาตลอดสองวัน ถึงได้รู้สึกว่าเธอไม่ได้เป็นทุกข์กับการเล่นงานที่เฉินลู่ทำกับเธอไว้แล้ว

สวีซุ่ยหนิงเลื่อนคลิปดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นข้อความแจ้งเตือนว่าใกล้ถึงวันเกิดของจางอวี้แล้ว

เธอแชทคุยกับเธอส่วนตัว ว่างานวันเกิดปีนี้ของเธอยังมีเจียงเจ๋อมารึเปล่า

จางอวี้ตอบกลับตามความจริง : เธอก็รู้ว่าครอบครัวของเราต้องพึ่งพาเขา จะไปฉีกหน้าเขาได้ยังไง อย่าว่าแต่เธอเป็นเพื่อนสนิทฉันเลย แม้แต่เธอเป็นบรรพบุรุษฉัน ก็หยุดให้ฉันประจบเขาไม่ได้

จางอวี้ :แต่ลับหลัง ฉันยังเข้าข้างเธอนะ

สวีซุ่ยหนิงคิดใคร่ครวญ จึงโทรไปหาแทน “งั้นฉันอาจไม่สะดวกที่จะมารึเปล่า”

“ไม่มีอะไรไม่สะดวก งานวันเกิดครบ20ปีของฉันจัดใหญ่มาก จัดเตรียมที่มุมๆไว้ให้เธอก็น่าจะได้ หรือถ้าเธอรู้สึกว่าอายคน ฉันก็สามารถหาคู่ควงไปร่วมงานกับเธอได้” จางอวี้พูด “หาคนที่เกลียดเจียงเจ๋อ”

“เธอบอกว่าในเมือง a ไม่มีใครเป็นศัตรูกับเจียงเจ๋อไม่ใช่เหรอ”

“เธอสามารถเมาท์เรื่องไม่ดีของเจียงเจ๋อกับเขาได้ แบบนี้ไม่ดีเหรอ”

“.........” สวีซุ่ยหนิงไม่มีเวลาพูดถึงเรื่องไม่ดีของเจียงเจ๋อ แต่ถ้าเธอไปในที่ใหญ่โตเพียงลำพัง แม้ว่าจางอวี้จะจัดให้เธอไปในที่ที่เธอไม่ต้องเจอกับเจียงเจ๋อ ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่พบเพื่อนๆของเจียงเจ๋อ

ถ้าเจอเธอเพียงคนเดียวคงน่าอึดอัดใจ แต่ถ้ามีคนอยู่ด้วยคงดีหน่อย

ดังนั้นเธอจึงรับปากไป

ในงานวันเกิดวันนั้นสวีซุ่ยหนิงไปเร็วมาก เกือบจะไปก่อนใครที่สุด เมื่อโทรหาจางอวี้ ปลายสายก็ตอบกลับอย่างรีบร้อน “ฉันให้คู่ควงของเธอไปรอในห้องพักแล้ว”

เมื่อสวีซุ่ยหนิงไปถึงห้องพัก ชายหนุ่มคนนั้นก็กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่

เมื่อเธอเข้าไปใกล้และได้เห็นใบหน้านั้นชัดขึ้น ใบหน้าเธอก็แดงขึ้นเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้หล่อมาก หล่อจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เขาจึงกวาดสายตาขึ้นมองเธอ

สวีซุ่ยหนิงกล่าวทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะ”

เขาไม่ได้ยกเปลือกตาขึ้นมามองเลย เพียงแค่ถามกลับอย่างเฉยเมย “คู่ควงของผมเหรอ”

“ค่ะ”

ชายคนนั้นพูด “นั่งตรงนั้นก่อนเถอะ”

สวีซุ่ยหนิงรู้สึกว่ามนุษย์สัมพันธ์ของผู้ชายคนนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เมื่อนั่งลงข้างๆก็ส่งข้อความหาจางอวี้ :คนที่เธอหามาดูเหมือนจะค่อนข้างเย็นชานะ

ตอนนี้จางอวี้น่าจะยุ่งมาก จึงไม่ได้ตอบกลับข้อความ

สวีซุ่ยหนิงรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม【1】 เมื่อชายหนุ่มมองมา เธอทำได้เพียงมองเขากลับไปอย่างไร้เดียงสา

หลังจากชายหนุ่มมองสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้น “คุณชื่ออะไร”

“สวีซุ่ยหนิงค่ะ”

“หน้าอกใหญ่มาก”

สีหน้าสวีซุ่ยหนิงเริ่มควบคุมไม่อยู่ เธออายมาก และพยายามเอามือปิดหน้าอก

ชายคนนั้นยืนขึ้น ร่างสูงเพรียว ชุดสูทที่เขาสวมยังให้ความรู้สึกมีภูมิฐานไม่น้อย “ไปเถอะ”

สวีซุ่ยหนิงควงแขนของเขา เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ กลับเห็นเขาเดินตรงไปยังที่นั่งตรงกลางของห้อง

ทำให้เธอมองเห็นเจียงเจ๋อเข้า เธอรีบไปหลบอยู่ด้านหลังเขาทันที

และเขาก็สังเกตเห็นเข้า “เธอหลบใครอยู่”

“เจียงเจ๋อ” สวีซุ่ยหนิงตอบ “คุณอย่าไปเลยนะ เรานั่งด้านข้างกันเถอะ คุณก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา ถ้าถึงเวลาเขามาหาเรื่องคุณจะทำยังไง”

เมื่อเธอพูดจบ ก็เงยหน้ามอง และกลับเห็นจางอวี้ที่ยืนหน้าขาวซีดอยู่ไม่ไกล

ดวงตาชายหนุ่มเป็นประกายขึ้นอย่างสนอกสนใจ “เธอรู้ไหมว่าฉันชื่ออะไร”

สวีซุ่ยหนิงส่ายหน้า

“ฉันชื่อลั่วจือเห้อ”เขาตอบอย่างสบายๆ “เพื่อนที่โตมาด้วยกันของเจียงเจ๋อ”

【1】เหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม แปลว่า จิตใจพะว้าพะวงไม่เป็นสุข

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน