สายตาของเฉินลู่นิ่งเรียบเป็นอย่างมาก ทว่าดูเย็นชาเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นหัวข้อที่เขาค่อนข้างไม่ชอบ อาจเป็นไปได้ว่ากำลังล่วงล้ำเขตหวงห้ามของเขา
สวีซุ่ยหนิงไม่กล้ามองเขา เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอส่งจดหมายให้กับเฉินลู่ด้วย ยิ่งกว่านั้นในจดหมายเขียนอะไรลงไปเธอก็จำไม่ได้ แต่เมื่อเห็นสายตาของเขาแล้ว เธอรู้ได้ทันทีว่ามันไม่น่าจะใช่หัวข้อปกติทั่วไป
จากนั้นเฉินลู่ได้เป็นคนติวหนังสือให้กับเธอในช่วงมัธยมศึกษาปีที่หก
ไม่น่าแปลกใจทุกครั้งที่พบหน้ากัน เขามักจะเย็นชา ทบทวนบทเรียนสิบนาทีต่างก็แยกย้าย และเขาเอ่ยกับเธอตรงๆว่าเขานั้นไม่ชอบผู้หญิงอย่างเธอ
ลั่วจือเห้อยิ้ม : "สวีซุ่ยหนิง ใช้ได้เลยนะ จับปลาสองมือน่ะไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่เธออ่อยฉัน แล้วยังกล้าอ่อยเฉินลู่ อันนี้ฉันว่าไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร ทำไม อยากให้ฉันกับเฉินลู่คอยปรนนิบัติรับใช้เธอร่วมกันงั้นเหรอ?"
ตลอดทั้งชีวิตของสวีซุ่ยหนิงนอกเหนือจากการแสดงความคิดเห็นเป็นครั้งคราวแล้ว ส่วนใหญ่เธอก็จะเก็บเนื้อเก็บตัวเป็นคนดี ไม่เป็นอริกับใคร ทว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวและรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว "ในตอนนั้นฉันเป็นผู้แพ้ในเกมพูดความจริงหรือเลือกรับคำท้า ฉันขอโทษด้วยจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินนายเลย"
ลั่วจือเห้อเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ "เธอชื่นชมฉัน อันไหนที่เรียกว่าล่วงเกินเหรอ?"
ไม่เก็บไปใส่ใจก็ถือว่าดีแล้ว
สวีซุ่ยหนิงถอนหายใจยืดยาว หน้าอกของเธอขยับขึ้นและลง เธอยังไม่ทันพูดอะไรก็ได้ยินเขาเอ่ย "ทว่าคิดว่าเฉินลู่อาจจะไม่ค่อยชอบใจในเรื่องนี้"
วินาทีนั้นร่างกายของสวีซุ่ยหนิงกระชับแน่นขึ้นทันใด
แต่ลั่วจือเห้อกลับไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงกล่าว "หากเธอไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ งั้นไปที่ห้องรับรองก่อนก็ได้"
สวีซุ่ยหนิงจึงรีบปลีกตัวจากไป
สายตาของลั่วจือเห้อหยุดลงและจ้องมองเรือนร่างของเฉินลู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาลุกขึ้นและหยุดบทสนทนากับเหล่านักธุรกิจใหญ่
แม้ว่าเขาเป็นแพทย์ ทว่าเขาไม่อาจทนได้ที่มีผู้อาวุโสที่เก่งกาจและเหล่านักธุรกิจมาประจบสอพลอเขา
เมื่อลั่วจือเห้อเดินตามหลังเฉินลู่ เขาก็สัมผัสได้ เขาเอ่ย "ทำไมนายถึงยุ่มย่ามกับแฟนเก่าของเจียงเจ๋อ?"
ลั่วจือเห้อพูดอย่างใจนึก "เธอกำลังตามจีบฉัน"
เฉินลู่ชะงักและเหลือบสายตามองเขา
"ฉันจำชื่อของเธอไม่ได้ แต่ตอนที่อยู่โรงเรียนฉันเคยเห็นหน้าเธอหลายครั้ง" ตอนที่อยู่โรงเรียน ลั่วจือเห้อบอกเพื่อนข้างกายเขาตั้งหลายครั้งหลายหนว่าผู้หญิงคนนั้นสวยใช้ได้
ต่อมาเด็กผู้หญิงคนนั้นก็มาที่หอพักของเขาและส่งจดหมายให้เขา
ขณะนั้นลั่วจือเห้อรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ใช้ได้เลยจริงๆ
หากว่าในช่วงปีที่สามเขาไม่ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ ลั่วจือเห้ออาจจะตกอยู่ในเงื้อมมือของเธอแล้วก็เป็นได้
เฉินลู่เอ่ยอย่างเย็นชา "ยับยั้งชั่งใจไว้"
ลั่วจือเห้อเอ่ยกระตุ้นความสนใจ "ข้างกายนายมีโจวอี้ ย่อมไม่รู้ถึงความดีของเด็กสาวคนนั้น อย่างเธอนั้น เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น..."
ริมฝีปากของเขากระตุกรอยยิ้ม เขาได้เพิ่มคำสุดท้ายภายในใจของเขา
สดใส
เฉินลู่กระตุกมุมปากของเขา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ "ก็แบบนั้นแหละ"
"ทำไม นายเคยลองแล้วหรือไง?" จากนั้นเฉินลู่ยังไม่ทันจะเอ่ยปาก เขาก็กล่าว "ถามไปก็ไร้ประโยชน์ นายถูกโจวอี้ควบคุมไว้อยู่แล้ว"
น้ำเสียงของเฉินลู่เยือกเย็นขึ้นและดูไม่แยแส "โจวอี้เกี่ยวอะไรด้วย?"
"ไม่เกี่ยวอะไร ตอนนั้นแข่งกันแย่งเธอมาตั้งหลายปี" ลั่วจือเห้อพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา
เฉินลู่ก้าวเท้าและเดินจากไป
.....
สวีซุ่ยหนิงที่อยู่ภายในห้องรับรอง เธอพบเพื่อนร่วมชั้นที่เขียนจดหมายให้เธอในตอนที่เธอเล่นเกมแพ้ เธอถามเขาว่าในจดหมายที่มอบให้เฉินลู่นั้นเขียนอะไรไว้
เพื่อนร่วมชั้นตอบว่าจำไม่ได้ แต่บอกว่าได้ถ่ายรูปเอาไว้และเก็บไว้ในไป๋ตู้คลาวด์ ต้องไปค้นหา
สวีซุ่ยหนิงรออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงข้อความดังขึ้น
เธอกดเข้าไปดู ราวกับว่าฟ้าผ่าตอนกลางวัน[1]
ในนั้นมีเพียงหนึ่งประโยค
"เพื่อนร่วมชั้นเฉิน วันนั้นฉันเห็นนายเข้าห้องน้ำ นายนี่ เล็กเกินไปแล้ว"
เล็ก เกินไปแล้ว
สวีซุ่ยหนิง : "........."
เมื่อจางอวี้เข้ามา สวีซุ่ยหนิงเอ่ยด้วยใบหน้าซีดเผือด "ฉันบอกว่าเฉินลู่เล็กเกินไปแล้ว"
"สวีซุ่ยหนิง เฉินลู่นี่เอาไว้ดูไม่ได้เอาไว้ใช้งานเหรอ?" น้ำเสียงของจางอวี้ตกใจมากและเสียงสูงปรี๊ด "เฉินลู่ผู้ชายที่สูงส่งขนาดนั้น แต่เล็กมาก?"
ถัดจากห้องรับรองคือห้องน้ำ
คำพูดนั้นเฉินลู่ได้ยินอย่างชัดเจน
ใบหน้าของเขามืดมนลงทันใด
ฟ้าผ่าตอนกลางวัน[1] หมายถึง มีเรื่องที่ไม่คาดฝันทำให้ตกใจอย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...