เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน นิยาย บท 13

ด้วยความรวดเร็วมือของสวีซุ่ยหนิงรีบปิดปากของจางอวี้ไว้และเอ่ย "เธอไม่ต้องโหวกเหวกเสียงดังขนาดนั้นจะได้ไหม"

"ฉันก็แค่ตกใจมากน่ะ" จางอวี้ผละออกจากมือของเธอและขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ย "เฉินลู่จะเล็กได้ยังไงกัน ก่อนหน้านี้การแข่งขันว่ายน้ำของโรงเรียน เขาสวมกางเกงรัดแน่นตึงเปรี๊ยะเชียวนะ...."

ตอนนั้นเขาเพิ่งอยู่มัธยมศึกษาตอนปลาย ก็สามารถมองเห็นมังกรของเขาได้แล้ว

ในตอนนั้นมีหญิงสาวเอ่ยติดตลก ใครอยากจะคบหากับเฉินลู่ เกรงว่าอาจจะสัมผัสกับความตาย

แต่ท้ายที่สุดแล้วสวีซุ่ยหนิงก็ได้ผ่านการฝึกฝนกับเฉินลู่มาแล้ว ไหนเล่าที่จางอวี้จะเข้าใจการพัฒนาของเฉินลู่ได้ดีกว่าเธอ

"ซุ่ยซุ่ย เธอแน่ใจเหรอว่ามองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วน่ะ?" จางอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ซับซ้อน ไม่กล้าคิดเลยว่าเทพบุตรจะล้มเหลวในเรื่องเช่นนี้

สวีซุ่ยหนิงยังไม่ทันจะเอ่ยปากอธิบาย เธอเห็นเฉินลู่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรและกำลังจ้องมองเธอด้วยแววตามืดมน

จางอวี้สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเธอ เธอหันกลับไปและหันกลับมา สีหน้าของเธอดูอึดอัดเล็กน้อย

เฉินลู่ชำเลืองมองจางอวี้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ "เธอไปก่อน"

เมื่อจางอวี้ได้ฟังก็รู้ว่านี่ไม่ใช่การปรึกษากับเธอ

เมื่อเทียบกับลั่วจือเห้อแล้ว ความจริงเธอกลัวเฉินลู่มากกว่าเสียอีก

คนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกับเฉินลู่ อาจตัดสินว่าเขานั้นดูเย็นชาเล็กน้อยและอาจดูเข้าถึงได้ยาก แต่ทว่าเขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งยังมีมารยาทและมีการศึกษา

จางอวี้ไม่คิดเช่นนั้น

เมื่อมีคนบีบบังคับโจวอวี้ เฉินลู่เป็นไปราวกับคนคลุ้มคลั่งอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าซี่โครงจะหักและทิ่มแทงทะลุปอด เขาก็รัวหมัดใส่ใบหน้าของชายผู้นั้นอย่างโหดเหี้ยม เมื่อคนคนนั้นหมดสติ เขาก็ยังปล่อยหมัดไม่หยุด

ท้ายที่สุดพ่อเฉินและแม่เฉินก็เข้ามาห้ามปรามเขา

เนื่องจากพฤติกรรมคลุ้งคลั่งของเฉินลู่ พ่อเฉินแม่เฉินจึงไม่ค่อยพอใจโจวอี้เสียเท่าไร

ตอนนั้นเฉินลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบและแผ่วเบา : "พวกคุณต้องการสะใภ้อย่างเธอเพิ่มหนึ่งคน หรือว่าไม่ต้องการลูกชายอย่างผม ชีวิตของผมก็แบบนี้ จะอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับเธอ"

ตั้งแต่นั้นจางอวี้รู้เลยว่าเฉินลู่ไม่ใช่คนที่ควรจะยั่วโทสะด้วยมากที่สุด

แต่ราวกับว่าเขาดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับสวีซุ่ยหนิง เธอไม่กล้าทอดทิ้งเพื่อนของเธอไว้ที่นี่

"เฉินลู่ ผัวเมียเพียงคืนเดียวความสัมพันธ์ลึกซึ้งนับร้อยวัน ยิ่งกว่านั้นพวกเธอสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงสองครั้ง" จางอวี้ที่อยู่ด้านข้างพยายามเกลี้ยกล่อมเขา

"เธอคิดมากไปแล้ว" เฉินลู่เอ่ยด้วยเสียงนิ่งเรียบ "ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ"

จางอวี้ไม่อยากจะเชื่อเท่าไรนัก ท่าทีของเขาดูเหมือนว่าต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ ทว่าในเวลานี้ใบหน้าของเขาเย็นเยียบราวกับว่าต้องการจะปล่อยหมัดใส่หน้าใครสักคน

เฉินลู่ชำเลืองมองสวีซุ่ยหนิง

สวีซุ่ยหนิงนึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่นี้ เธอมีหลักฐานที่จะอธิบายอย่างชัดเจน ไม่ต้องการให้จางอวี้ล่วงเกินเขาเพราะตัวเธอ เช่นนั้นจึงบอกให้เธอไป "จางอวี้ ฉันจะอธิบายกับเขาให้รู้เรื่อง เธอไปก่อนเถอะ"

จางอวี้เอ่ย "เฉินลู่ ซุ่ยซุ่ยเธอเพียงแค่ชอบนายก็เท่านั้น"

ชอบเขาแต่กลับตามจีบลั่วจือเห้อ?

เฉินลู่ไม่ได้จริงจังมากนัก สีหน้าของเขานั้นไร้ซึ่งการแสดงออกทางอารมณ์ เขายังคงเย็นชาและไม่แยแสต่อสิ่งใด

สวีซุ่ยหนิงพูดเกลี้ยกล่อมและส่งจางอวี้ออกไป จากนั้นเธอปิดประตู

"ล็อค" เขาเอ่ยอย่างรวบรัด

สวีซุ่ยหนิงล็อคประตูอย่างเปิดเผย เมื่อเห็นว่าเขาปลดเนคไทและนั่งบนโซฟา คาดการณ์ได้ว่าเขาคงมีเวลาและมีความอดทนมากพอที่จะนั่งฟังเธออธิบาย

มือนั้นที่ปลดเนคไท ดูดีมากจริงๆ

เธอจัดระเบียบกระโปรงของเธอ นั่งลงข้างกายเขา นำเนื้อหาบทสนทนาให้เขาดู เอ่ยด้วยความหวาดกลัว "หมอเฉิน ตอนนั้นจดหมายฉบับนั้นไม่ใช่ฉันเป็นคนเขียน ฉันแค่เล่นเกมแพ้และกลายเป็นคนส่งจดหมาย ฉันไม่อาจถ้ำมองนายเข้าห้องน้ำได้หรอก ไม่อาจพูดได้หรอกว่านายน่ะเล็ก"

เธอชะงักงันและเอ่ยอย่างลังเล "เมื่อกี้ฉันอยากจะอธิบายจางอวี้ ไม่ใช่บอกว่านายเล็ก นายเป็นยังไง ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้"

เฉินลู่ถามอย่างไม่ใส่ใจ "ฉันเป็นยังไง?"

เธอชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นใช้มือร่างภาพบางสิ่งออกมา ครุ่นคิดนึกถึงความรู้สึกในวันนั้น ขยายระยะห่างระหว่างมือให้กว้างขึ้นอีกนิด

เขานิ่งเงียบจ้องมองไปยังใบหูที่แดงก่ำของเธอ

"ความสัมพันธ์ระหว่างลั่วจือเห้อและเจียงเจ๋อนั้นแข็งแกร่งมาก ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแน่นแฟ้น เธออ่อยเขาไปก็ไร้ประโยชน์" เฉินลู่เอ่ย

สวีซุ่ยหนิงไม่รู้ว่าตัวเองนั้นไปอ่อยลั่วจือเห้อเมื่อไร

ยอมรับเลยว่าลั่วจือเห้อนั้นตรงสเปคเธอมาก

แน่นอนว่าเฉินลู่ก็เป็นสเปคของเธอเช่นกัน ทว่าเธอรู้ว่าด้วยความสามารถของเธอนั้นไม่อาจคว้าเขาไว้ได้และไม่คิดที่จะล่วงล้ำขอบเขตของเขา ในตอนนั้นเพียงแค่ต้องการจัดการกับเจียงเจ๋อก็เท่านั้น

"หมอเฉิน ฉันอธิบายทุกอย่างให้นายอย่างชัดเจนแล้ว หวังว่านายจะไม่แค้นเคืองฉัน" สวีซุ่ยหนิงยังคงแสดงท่าทีอ่อนโยนเช่นเคย เธอเอ่ย "ฉันไม่ได้อ่อยลั่วจือเห้อ เรื่องของเจียงเจ๋อ ฉันจะจัดการด้วยตัวเอง หวังว่านายจะไม่เข้ามาก้าวก่าย ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อน"

เฉินลู่ชำเลืองมองเธอ "ซิปกระโปรงของเธอไม่ได้รูด"

สีหน้าของสวีซุ่ยหนิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอเอื้อมมือไปด้านหลัง เพียงแต่ว่ามือของเธอนั้นเอื้อมไม่ถึง

ขณะนั้นด้านนอกมีเสียงดังขึ้น "วันนี้ผู้หญิงสวมชุดดำที่นั่งข้างกายลั่วจือเห้อคือใครกัน?"

"ไม่รู้จัก ขาวจั๊วเชียวล่ะ ตอนมองลั่วจือเห้อเหมือนว่าเธอจะปฏิเสธนะ แต่จริงๆก็อยากจะคลุกคลีกับเขา ดูคันมาก"

สวีซุ่ยหนิงครุ่นคิดภายในใจ ดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าราวกับถูกทำร้าย มองใครต่างก็เหมือนส่งสายตายั่วยวน

"เอ้ย เธอดู ทำไมประตูนี้ถึงล็อคได้ ใครอยู่ด้านในกันนะ?" คนด้านนอกผลักประตูด้วยความรุนแรง

"ไป ไปหาคุณจางแล้วเอากุญแจมา" คนด้านนอกทั้งสองรีบไปเอากุญแจ

สวีซุ่ยหนิงหันหน้าไปหาเฉินลู่ เขากลับไม่ได้สนใจเลย

ทางที่ดีเธอไม่พูดยังดีเสียกว่า แต่ทว่ามือของเธอนั้นยังคงเร่งรีบในการรูดซิป

"มานี่" ราวกับว่าเฉินลู่ไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป

สวีซุ่ยหนิงเดินเข้าไปหาเขา เธอเดินไปอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นเมื่อผู้หญิงสองคนนั้นกลับมาก็คงจะอึดอัด อย่างไรเสียพวกเธอก็พูดว่าเรื่องเสียๆหายๆให้เธอได้ยินแล้ว

เธอไม่ขัดเคืองก็ได้ บางทีคนที่พูดจาไม่ดีใส่เธอ อาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ได้ สวีซุ่ยหนิงไม่อยากเป็นอริกับคุณหนูเหล่านี้

เพียงแต่ วินาทีต่อมา เธอรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเล็กน้อย

กระโปรงกำลังจะร่วงหล่น ฉับพลันก็ร่วงหล่นส่งสู่พื้นดิน

เฉินลู่ไม่ได้รูดซิปปิดให้เธอ กลับรูดซิปเปิดกระโปรงให้เธอ

เธอหันกลับมามองเขา เขาไม่ได้สวมเนคไท ความมีระเบียบและพิถีพิถันของเขาดูลดลงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะขมวดคิ้วแน่นอย่างเย็นชา แต่เมื่อมองกลับไม่ได้ดูจริงจัง

"หมอเฉิน...."

เฉินลู่เหลือบมองต้นขาของตนและเอ่ยคำพูดที่ไม่อาจต้านทานได้ "มานั่งนี่"

สวีซุ่ยหนิงขมวดคิ้วแน่น เธอกัดริมฝีปากและเอ่ย "อีกเดี๋ยวพวกเธอก็จะมาเปิดประตูแล้ว ฉันไม่สามารถทำแบบนั้นกับนายได้หรอก"

"ประธานจางไม่อยู่ พวกเธอเอากุญแจมาไม่ได้หรอก" เฉินลู่เอ่ย "ไม่อยากเอาคืนเจียงเจ๋อแล้ว?"

หัวใจของสวีซุ่ยหนิงกระชับแน่น เธอเอ่ย "แน่นอนว่านายไม่ช่วยฉันเอาคืนเขา"

เฉินลู่เอ่ยอย่างหมดความอดทน "โอกาสอยู่ตรงหน้าเธอ เธอเลือกเอาแล้วกัน"

ภายในใจของเธอกระสับกระส่ายเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ยังไม่ค่อยเชื่อว่าเขาจะช่วยเหลือเธอ เธอคิดอยากจะปฏิเสธ แต่เฉินลู่เอื้อมมือออกมาและดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนของเขา

เธอได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากร่างกายของเขา

เธอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ที่พบปะกับทุกคน เขาดื่มไวน์ไปหลายแก้ว เขาแทบไม่ปฏิเสธที่จะผูกมิตรกับพวกคนเหล่านั้น

เห็นได้ชัดว่าเฉินลู่ถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

"เฉินลู่ อย่า...."

เฉินลู่ผลักเธอลงบนโซฟา เขาคว้าเนคไทและมัดข้อมือเธอไว้และเย้ยหยันด้วยท่าทีเฉยเมย "ฉันให้เธอล็อคประตู หมายความว่าอะไร เธอไม่รู้จริงๆหรือว่าแสร้งไม่รู้กันแน่?"

......

จางอวี้เป็นกังวลเรื่องของสวีซุ่ยหนิง เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าประตู เธอได้ยินเสียงคร่ำครวญที่แผ่วเบาดังเล็ดลอดออกมา

"หมอเฉิน...."

เมื่อจางอวี้ได้ฟัง เธอรู้สึกขนลุกซู่ชูชันไปทั่วทั้งหนังศีรษะ

เธอยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง จากนั้นเห็นเจียงเจ๋อเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาเอ่ย "สวีซุ่ยหนิงล่ะ?"

จางอวี้ไม่กล้าเอ่ยปาก เพียงแค่มองรอยเป็นแผลบนใบหน้าของเขาที่ครั้งก่อนสวีซุ่ยหนิงเป็นคนฝากรอยไว้

เจียงเจ๋อเห็นว่าเธอนิ่งเงียบ เขาเอ่ยอย่างถากถาง "เธอกล้าปกป้องนังนั่นเหรอ? นังแพศยา มีหน้ามาอ่อยพี่น้องของฉัน มาคอยดูกันว่าฉันจะจัดการเธอได้หรือไม่!"

ไม่เพียงแต่จะอ่อยพี่น้องของนาย เธอยังโดนลูกพี่ลูกน้องของนายกลั่นแกล้งอีกด้วย

จางอวี้ครุ่นคิด เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอพลันนึกขึ้นได้ เมื่อไรกันที่เจียงเจ๋อสนใจชีวิตส่วนตัวของลั่วจือเห้อ

จากนั้นหวนนึกถึงครั้งที่ใบหน้าของเขาถูกสวีซุ่ยหนิงขว้างก้อนอิฐใส่จนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เขาก็ไม่เคยไปหาเรื่องสวีซุ่ยหนิงเลย

เช่นนี้เกรงว่าคงเป็นอาการหึงหวง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน