ด้วยความรวดเร็วมือของสวีซุ่ยหนิงรีบปิดปากของจางอวี้ไว้และเอ่ย "เธอไม่ต้องโหวกเหวกเสียงดังขนาดนั้นจะได้ไหม"
"ฉันก็แค่ตกใจมากน่ะ" จางอวี้ผละออกจากมือของเธอและขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ย "เฉินลู่จะเล็กได้ยังไงกัน ก่อนหน้านี้การแข่งขันว่ายน้ำของโรงเรียน เขาสวมกางเกงรัดแน่นตึงเปรี๊ยะเชียวนะ...."
ตอนนั้นเขาเพิ่งอยู่มัธยมศึกษาตอนปลาย ก็สามารถมองเห็นมังกรของเขาได้แล้ว
ในตอนนั้นมีหญิงสาวเอ่ยติดตลก ใครอยากจะคบหากับเฉินลู่ เกรงว่าอาจจะสัมผัสกับความตาย
แต่ท้ายที่สุดแล้วสวีซุ่ยหนิงก็ได้ผ่านการฝึกฝนกับเฉินลู่มาแล้ว ไหนเล่าที่จางอวี้จะเข้าใจการพัฒนาของเฉินลู่ได้ดีกว่าเธอ
"ซุ่ยซุ่ย เธอแน่ใจเหรอว่ามองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วน่ะ?" จางอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ซับซ้อน ไม่กล้าคิดเลยว่าเทพบุตรจะล้มเหลวในเรื่องเช่นนี้
สวีซุ่ยหนิงยังไม่ทันจะเอ่ยปากอธิบาย เธอเห็นเฉินลู่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรและกำลังจ้องมองเธอด้วยแววตามืดมน
จางอวี้สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเธอ เธอหันกลับไปและหันกลับมา สีหน้าของเธอดูอึดอัดเล็กน้อย
เฉินลู่ชำเลืองมองจางอวี้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ "เธอไปก่อน"
เมื่อจางอวี้ได้ฟังก็รู้ว่านี่ไม่ใช่การปรึกษากับเธอ
เมื่อเทียบกับลั่วจือเห้อแล้ว ความจริงเธอกลัวเฉินลู่มากกว่าเสียอีก
คนที่ไม่รู้จักมักคุ้นกับเฉินลู่ อาจตัดสินว่าเขานั้นดูเย็นชาเล็กน้อยและอาจดูเข้าถึงได้ยาก แต่ทว่าเขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งยังมีมารยาทและมีการศึกษา
จางอวี้ไม่คิดเช่นนั้น
เมื่อมีคนบีบบังคับโจวอวี้ เฉินลู่เป็นไปราวกับคนคลุ้มคลั่งอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าซี่โครงจะหักและทิ่มแทงทะลุปอด เขาก็รัวหมัดใส่ใบหน้าของชายผู้นั้นอย่างโหดเหี้ยม เมื่อคนคนนั้นหมดสติ เขาก็ยังปล่อยหมัดไม่หยุด
ท้ายที่สุดพ่อเฉินและแม่เฉินก็เข้ามาห้ามปรามเขา
เนื่องจากพฤติกรรมคลุ้งคลั่งของเฉินลู่ พ่อเฉินแม่เฉินจึงไม่ค่อยพอใจโจวอี้เสียเท่าไร
ตอนนั้นเฉินลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบและแผ่วเบา : "พวกคุณต้องการสะใภ้อย่างเธอเพิ่มหนึ่งคน หรือว่าไม่ต้องการลูกชายอย่างผม ชีวิตของผมก็แบบนี้ จะอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับเธอ"
ตั้งแต่นั้นจางอวี้รู้เลยว่าเฉินลู่ไม่ใช่คนที่ควรจะยั่วโทสะด้วยมากที่สุด
แต่ราวกับว่าเขาดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับสวีซุ่ยหนิง เธอไม่กล้าทอดทิ้งเพื่อนของเธอไว้ที่นี่
"เฉินลู่ ผัวเมียเพียงคืนเดียวความสัมพันธ์ลึกซึ้งนับร้อยวัน ยิ่งกว่านั้นพวกเธอสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงสองครั้ง" จางอวี้ที่อยู่ด้านข้างพยายามเกลี้ยกล่อมเขา
"เธอคิดมากไปแล้ว" เฉินลู่เอ่ยด้วยเสียงนิ่งเรียบ "ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ"
จางอวี้ไม่อยากจะเชื่อเท่าไรนัก ท่าทีของเขาดูเหมือนว่าต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ ทว่าในเวลานี้ใบหน้าของเขาเย็นเยียบราวกับว่าต้องการจะปล่อยหมัดใส่หน้าใครสักคน
เฉินลู่ชำเลืองมองสวีซุ่ยหนิง
สวีซุ่ยหนิงนึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่นี้ เธอมีหลักฐานที่จะอธิบายอย่างชัดเจน ไม่ต้องการให้จางอวี้ล่วงเกินเขาเพราะตัวเธอ เช่นนั้นจึงบอกให้เธอไป "จางอวี้ ฉันจะอธิบายกับเขาให้รู้เรื่อง เธอไปก่อนเถอะ"
จางอวี้เอ่ย "เฉินลู่ ซุ่ยซุ่ยเธอเพียงแค่ชอบนายก็เท่านั้น"
ชอบเขาแต่กลับตามจีบลั่วจือเห้อ?
เฉินลู่ไม่ได้จริงจังมากนัก สีหน้าของเขานั้นไร้ซึ่งการแสดงออกทางอารมณ์ เขายังคงเย็นชาและไม่แยแสต่อสิ่งใด
สวีซุ่ยหนิงพูดเกลี้ยกล่อมและส่งจางอวี้ออกไป จากนั้นเธอปิดประตู
"ล็อค" เขาเอ่ยอย่างรวบรัด
สวีซุ่ยหนิงล็อคประตูอย่างเปิดเผย เมื่อเห็นว่าเขาปลดเนคไทและนั่งบนโซฟา คาดการณ์ได้ว่าเขาคงมีเวลาและมีความอดทนมากพอที่จะนั่งฟังเธออธิบาย
มือนั้นที่ปลดเนคไท ดูดีมากจริงๆ
เธอจัดระเบียบกระโปรงของเธอ นั่งลงข้างกายเขา นำเนื้อหาบทสนทนาให้เขาดู เอ่ยด้วยความหวาดกลัว "หมอเฉิน ตอนนั้นจดหมายฉบับนั้นไม่ใช่ฉันเป็นคนเขียน ฉันแค่เล่นเกมแพ้และกลายเป็นคนส่งจดหมาย ฉันไม่อาจถ้ำมองนายเข้าห้องน้ำได้หรอก ไม่อาจพูดได้หรอกว่านายน่ะเล็ก"
เธอชะงักงันและเอ่ยอย่างลังเล "เมื่อกี้ฉันอยากจะอธิบายจางอวี้ ไม่ใช่บอกว่านายเล็ก นายเป็นยังไง ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้"
เฉินลู่ถามอย่างไม่ใส่ใจ "ฉันเป็นยังไง?"
เธอชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นใช้มือร่างภาพบางสิ่งออกมา ครุ่นคิดนึกถึงความรู้สึกในวันนั้น ขยายระยะห่างระหว่างมือให้กว้างขึ้นอีกนิด
เขานิ่งเงียบจ้องมองไปยังใบหูที่แดงก่ำของเธอ
"ความสัมพันธ์ระหว่างลั่วจือเห้อและเจียงเจ๋อนั้นแข็งแกร่งมาก ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแน่นแฟ้น เธออ่อยเขาไปก็ไร้ประโยชน์" เฉินลู่เอ่ย
สวีซุ่ยหนิงไม่รู้ว่าตัวเองนั้นไปอ่อยลั่วจือเห้อเมื่อไร
ยอมรับเลยว่าลั่วจือเห้อนั้นตรงสเปคเธอมาก
แน่นอนว่าเฉินลู่ก็เป็นสเปคของเธอเช่นกัน ทว่าเธอรู้ว่าด้วยความสามารถของเธอนั้นไม่อาจคว้าเขาไว้ได้และไม่คิดที่จะล่วงล้ำขอบเขตของเขา ในตอนนั้นเพียงแค่ต้องการจัดการกับเจียงเจ๋อก็เท่านั้น
"หมอเฉิน ฉันอธิบายทุกอย่างให้นายอย่างชัดเจนแล้ว หวังว่านายจะไม่แค้นเคืองฉัน" สวีซุ่ยหนิงยังคงแสดงท่าทีอ่อนโยนเช่นเคย เธอเอ่ย "ฉันไม่ได้อ่อยลั่วจือเห้อ เรื่องของเจียงเจ๋อ ฉันจะจัดการด้วยตัวเอง หวังว่านายจะไม่เข้ามาก้าวก่าย ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อน"
เฉินลู่ชำเลืองมองเธอ "ซิปกระโปรงของเธอไม่ได้รูด"
สีหน้าของสวีซุ่ยหนิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอเอื้อมมือไปด้านหลัง เพียงแต่ว่ามือของเธอนั้นเอื้อมไม่ถึง
ขณะนั้นด้านนอกมีเสียงดังขึ้น "วันนี้ผู้หญิงสวมชุดดำที่นั่งข้างกายลั่วจือเห้อคือใครกัน?"
"ไม่รู้จัก ขาวจั๊วเชียวล่ะ ตอนมองลั่วจือเห้อเหมือนว่าเธอจะปฏิเสธนะ แต่จริงๆก็อยากจะคลุกคลีกับเขา ดูคันมาก"
สวีซุ่ยหนิงครุ่นคิดภายในใจ ดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าราวกับถูกทำร้าย มองใครต่างก็เหมือนส่งสายตายั่วยวน
"เอ้ย เธอดู ทำไมประตูนี้ถึงล็อคได้ ใครอยู่ด้านในกันนะ?" คนด้านนอกผลักประตูด้วยความรุนแรง
"ไป ไปหาคุณจางแล้วเอากุญแจมา" คนด้านนอกทั้งสองรีบไปเอากุญแจ
สวีซุ่ยหนิงหันหน้าไปหาเฉินลู่ เขากลับไม่ได้สนใจเลย
ทางที่ดีเธอไม่พูดยังดีเสียกว่า แต่ทว่ามือของเธอนั้นยังคงเร่งรีบในการรูดซิป
"มานี่" ราวกับว่าเฉินลู่ไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป
สวีซุ่ยหนิงเดินเข้าไปหาเขา เธอเดินไปอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นเมื่อผู้หญิงสองคนนั้นกลับมาก็คงจะอึดอัด อย่างไรเสียพวกเธอก็พูดว่าเรื่องเสียๆหายๆให้เธอได้ยินแล้ว
เธอไม่ขัดเคืองก็ได้ บางทีคนที่พูดจาไม่ดีใส่เธอ อาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ได้ สวีซุ่ยหนิงไม่อยากเป็นอริกับคุณหนูเหล่านี้
เพียงแต่ วินาทีต่อมา เธอรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเล็กน้อย
กระโปรงกำลังจะร่วงหล่น ฉับพลันก็ร่วงหล่นส่งสู่พื้นดิน
เฉินลู่ไม่ได้รูดซิปปิดให้เธอ กลับรูดซิปเปิดกระโปรงให้เธอ
เธอหันกลับมามองเขา เขาไม่ได้สวมเนคไท ความมีระเบียบและพิถีพิถันของเขาดูลดลงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะขมวดคิ้วแน่นอย่างเย็นชา แต่เมื่อมองกลับไม่ได้ดูจริงจัง
"หมอเฉิน...."
เฉินลู่เหลือบมองต้นขาของตนและเอ่ยคำพูดที่ไม่อาจต้านทานได้ "มานั่งนี่"
สวีซุ่ยหนิงขมวดคิ้วแน่น เธอกัดริมฝีปากและเอ่ย "อีกเดี๋ยวพวกเธอก็จะมาเปิดประตูแล้ว ฉันไม่สามารถทำแบบนั้นกับนายได้หรอก"
"ประธานจางไม่อยู่ พวกเธอเอากุญแจมาไม่ได้หรอก" เฉินลู่เอ่ย "ไม่อยากเอาคืนเจียงเจ๋อแล้ว?"
หัวใจของสวีซุ่ยหนิงกระชับแน่น เธอเอ่ย "แน่นอนว่านายไม่ช่วยฉันเอาคืนเขา"
เฉินลู่เอ่ยอย่างหมดความอดทน "โอกาสอยู่ตรงหน้าเธอ เธอเลือกเอาแล้วกัน"
ภายในใจของเธอกระสับกระส่ายเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ยังไม่ค่อยเชื่อว่าเขาจะช่วยเหลือเธอ เธอคิดอยากจะปฏิเสธ แต่เฉินลู่เอื้อมมือออกมาและดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
เธอได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากร่างกายของเขา
เธอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ที่พบปะกับทุกคน เขาดื่มไวน์ไปหลายแก้ว เขาแทบไม่ปฏิเสธที่จะผูกมิตรกับพวกคนเหล่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเฉินลู่ถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
"เฉินลู่ อย่า...."
เฉินลู่ผลักเธอลงบนโซฟา เขาคว้าเนคไทและมัดข้อมือเธอไว้และเย้ยหยันด้วยท่าทีเฉยเมย "ฉันให้เธอล็อคประตู หมายความว่าอะไร เธอไม่รู้จริงๆหรือว่าแสร้งไม่รู้กันแน่?"
......
จางอวี้เป็นกังวลเรื่องของสวีซุ่ยหนิง เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าประตู เธอได้ยินเสียงคร่ำครวญที่แผ่วเบาดังเล็ดลอดออกมา
"หมอเฉิน...."
เมื่อจางอวี้ได้ฟัง เธอรู้สึกขนลุกซู่ชูชันไปทั่วทั้งหนังศีรษะ
เธอยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง จากนั้นเห็นเจียงเจ๋อเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาเอ่ย "สวีซุ่ยหนิงล่ะ?"
จางอวี้ไม่กล้าเอ่ยปาก เพียงแค่มองรอยเป็นแผลบนใบหน้าของเขาที่ครั้งก่อนสวีซุ่ยหนิงเป็นคนฝากรอยไว้
เจียงเจ๋อเห็นว่าเธอนิ่งเงียบ เขาเอ่ยอย่างถากถาง "เธอกล้าปกป้องนังนั่นเหรอ? นังแพศยา มีหน้ามาอ่อยพี่น้องของฉัน มาคอยดูกันว่าฉันจะจัดการเธอได้หรือไม่!"
ไม่เพียงแต่จะอ่อยพี่น้องของนาย เธอยังโดนลูกพี่ลูกน้องของนายกลั่นแกล้งอีกด้วย
จางอวี้ครุ่นคิด เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอพลันนึกขึ้นได้ เมื่อไรกันที่เจียงเจ๋อสนใจชีวิตส่วนตัวของลั่วจือเห้อ
จากนั้นหวนนึกถึงครั้งที่ใบหน้าของเขาถูกสวีซุ่ยหนิงขว้างก้อนอิฐใส่จนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เขาก็ไม่เคยไปหาเรื่องสวีซุ่ยหนิงเลย
เช่นนี้เกรงว่าคงเป็นอาการหึงหวง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...