ในแง่มุมหนึ่ง เฉินเจ๋อชูกับเฉินลู่มีความคล้ายคลึงกันมาก เฉินลู่มีนิสัยเหมือนเฉินเจ๋อชูตอนยังวัยรุ่น พวกเขาทั้งคู่มีนิสัยไม่เคยยอมแพ้ต่อผู้อื่น
ดังนั้นคำว่า"ไม่อนุญาต"ที่เฉินเจ๋อชูบอกกับเฉินลู่จึงเท่ากับไม่มีประโยชน์
“ผมคิดว่าคุณไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งชีวิตส่วนตัวของผมนะครับ” เฉินลู่พูดเบาๆ
เฉินเจ๋อชูพูดด้วยใบหน้ามืดมน "แกไม่สนใจตระกูลเฉินแล้วใช่ไหม?"
“ถ้าผมไม่สนใจตระกูลเฉินจริงๆ ผมคงไม่ยอมนัดบอดกับฟู่เล่อเล่อหรอกครับ” เฉินลู่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ผมคิดว่าต่อไปเรื่องแต่งงานควรยกให้คุณย่าเป็นคนจัดการดีกว่า”
เฉินเจ๋อชูพ่นลมอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ฉันว่าแกน่ะฝังใจกับคนที่ไม่ควรฝังใจมากกว่า ถึงได้รู้สึกว่าใครก็ไม่ดีไปหมด”
เฉินลู่เพิกเฉยคำพูดนั้นและพูดต่อว่า “ผมไม่สนใจเธอไม่ได้หรอก ไม่ว่าเราสองคนจะเป็นอะไรกัน ผมจะจัดการเรื่องนี้แทนเธอเอง”
“ฉันว่าแกโดนมนตร์สะกดเข้าให้แล้วแหละ” เฉินเจ๋อชูพูดอย่างเคร่งขรึม
เฉินลู่ไม่ได้ปฏิเสธ เขาเหลือบมองนาฬิกาแล้วพูดว่า “ผมมีธุระที่ต้องทำ ขอตัวก่อนนะครับ”
“ถ้ามีเวลาก็ไปคุยกับเฉินเหลียนเรื่องทรัพยากรชิปด้วยนะ” จู่ ๆ เฉินเจ๋อชูก็พูดขึ้นอีกครั้ง
เฉินลู่เหลือบมองเขาด้วยหางตาและตอบรับเบาๆ "อืม"
“พวกแกอายุเท่ากัน คุยกันสบายใจกว่า แค่ถามเขาว่ามีผู้ติดต่อที่นั่นไหม ถ้ามี ฉันจะคุยกับพ่อของเขาเอง” ความต้องการชิปของตระกูลเฉินเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขโดยด่วน เมื่อความร่วมมือกับตระกูลฟู่สิ้นสุดลง เฉินเจ๋อชูจึงต้องมุ่งเน้นไปที่วิธีการอื่น
เฉินเหลียนเพิ่งกลับมาถึงประเทศจีน จุดเน้นของการพัฒนาอยู่ที่ต่างประเทศ ดังนั้นจึงอาจมีหนทางดีๆ
เฉินลู่ไปพบกับเฉินเหลียนในคืนนั้น
พวกเขาถือได้ว่าเป็นพี่น้องกัน เฉินเหลียนจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “แกกำลังดูแลโจวอี้งั้นเหรอ?”
เฉินลู่กล่าวว่า "ฉันช่วยเธอหาโรงพยาบาลแล้วก็ติดต่อหมอ ฉันใช้แผนให้เธอได้รับทรัพย์สินทางฝั่งอดีตสามีของเธอด้วย ฉันทำในสิ่งที่ควรทำไปหมดแล้ว"
“เห็นได้ชัดว่านายดูแลเธอไม่ดีเลย”
เฉินลู่มองดูเฉินเหลียนอย่างครุ่นคิดและกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะร่างกายของเธออยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ไม่ว่าฉันจะดูแลเธอยังไง เธอก็อยู่ในสภาพนี้อยู่ดี ฉันมีชีวิตของตัวเอง ฉันคงจะเสียเวลาไปกับเธอทั้งหมดไม่ได้หรอก”
แต่เขาก็ต้องยอมรับด้วยว่าตั้งแต่สวีซุ่ยหนิงทะเลาะกับเขาหลายครั้งเพราะเรื่องของโจวอี้ เขาจึงจงใจปลีกตัวออกจากโจวอี้จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เจียงเจ๋อบอกว่าโจวอี้เป็นคนยุยงว่าเขานอกใจสวีซุ่ยหนิง เฉินลู่ก็ไม่เคยไปพบเธออีกเลย
เฉินเหลียนกล่าวว่า “ผู้หญิงที่นายตามจีบตามอย่างบ้าระห่ำในตอนนั้น แต่ตอนนี้นายกลับทำกับเธอแบบนี้ คิดดูละกันว่าเธอจะรู้สึกอายแค่ไหน”
เฉินลู่พูดอย่างเฉยเมย "ฉันไม่เคยตามจีบเธอก่อน"
เฉินเหลียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “เป็นไปได้ยังไง?”
ซูหว่านจิ้งเห็นเฉินลู่จึงเข้ามาทักทาย ส่วนเรื่องที่ว่าเธอมาทักทายใครนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป
ซูหว่านจิ้งไม่พูดอะไร เพียงแค่จิบไวน์จากแก้ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวหร่านก็เดินตามมา ก่อนจะโอบไหล่ของซูหว่านจิ้ง เมื่อเขาเห็นเฉินเหลียน รอยยิ้มของเขาก็จางลงและทักทายอย่างเกียจคร้าน "สวัสดีครับ"
เฉินเหลียนตอบกลับ “สวัสดีครับ”
เซียวหร่านเพิกเฉยต่อเขา แต่มองไปที่ซูหว่านจิ้งและกล่าวว่า "ถึงเวลาต้องกลับแล้ว"
ซูหว่านจิ้งพยักหน้า ก่อนจะบอกลาเฉินลู่และจากไปพร้อมกับเซียวหร่าน
ในระหว่างนั้น เธอไม่ได้มองหน้าเฉินเหลียนด้วยซ้ำ
ที่จริงแล้วแม้ว่าเธอจะไม่ได้มองเขา แต่ทุกคนในตรงนั้นดูออกว่าบรรยากาศแปลกๆทั้งหมดเกิดจาดอะไร นั่นเป็นเพราะเธอกำลังให้ความสนใจกับเฉินเหลียนอย่างชัดเจน
เมื่อเธอและเซียวหร่านขึ้นรถ ท่าทางของเธอเปลี่ยนกลับมาเป็นเย็นชา ส่วนเซียวหร่านนั่งอยู่ในรถโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ไฟในรถไม่ได้เปิด แต่ไฟแห่งความตึงเครียดของทั้งสองฝ่ายกำลังเผาไหม้อยู่ในความมืดมิด

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...