เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน นิยาย บท 22

สวีซุ่ยหนิงรู้สึกว่าพฤติกรรมของลั่วจือเห้อนั้นดีมาก ไม่ต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือสำหรับการจัดการเจียงเจ๋อ ทว่าเธอก็ยังถามเขา "หากว่าฉันต้องการจีบลั่วจือเห้อ นายจะช่วยอะไรฉันได้?"

เสื้อกาวน์ที่เขาสวมใส่ทำให้เขาดูเย็นชาเป็นพิเศษ เขาจ้องมองเธอ "จะจับผู้ชายอย่างไร ฉันย่อมรู้ดีกว่าเธอ"

สวีซุ่ยหนิงส่ายหน้าและเอ่ย "ฉันไม่อยากใช้เขาเป็นเครื่องมือ ลั่วจือเห้อเป็นคนดี เขาเป็นเพื่อนกับเจียงเจ๋อ ไม่ควรลากเขาเข้ามาข้องเกี่ยว"

"ฉันและเจียงเจ๋อเป็นญาติกัน ตอนที่เธอดึงฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ดูกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วเชียว" เฉินลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

สวีซุ่ยหนิงครุ่นคิดภายในใจ นั่นไม่ใช่เพราะว่าในตอนนั้นนายแสดงท่าทีเป็นชายโฉดหรอกหรือ ถ้าเธอรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและโจวอี้ดีต่อกันขนาดนั้น เธอก็คงไม่ดึงเขาเข้ามาข้องเกี่ยวหรอก

สิ่งต้องห้ามที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของเธอ การทำลายความรู้สึกของผู้อื่นเป็นเรื่องผิดศีลธรรม

"เรื่องของเจียงเจ๋อ ฉันก็ไม่เต็มใจรับความช่วยเหลือเท่าไรนัก นายบอกจุดอ่อนของเขาให้ฉันรู้ก็ได้ ที่เหลือฉันจัดการเอง หลังจากนั้นไม่ว่าฉันจะล้มเขาได้หรือว่าตระกูลเจียงจะคอยปกป้องคุ้มครองเขา เรื่องนั้นก็จะเป็นเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวข้องกับนาย ฉันจะไม่ไปขอความช่วยเหลือจากนายอีก" สวีซุ่ยหนิงกล่าว

เฉินลู่เลิกคิ้วและเอ่ย "คนที่มีจุดอ่อนของเจียงเจ๋อเยอะก็จริง แล้วเธอเคยเห็นเจียงเจ๋อมีเรื่องอะไรบ้างไหม?"

"ฉันบอกไปแล้ว นั่นเป็นเรื่องของฉัน จะสำเร็จหรือไม่ มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาย"

เฉินลู่รู้สึกว่าสวีซุ่ยหนิงนั้นสมองทึบ เธอเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปคิดจะต่อกรกับเจียงเจ๋องั้นเหรอ? สุดท้ายแล้วคนที่จะเจ็บตัวก็คือเธอเพียงคนเดียว

จำเป็นจะต้องทะนุถนอมลั่วจือเห้อขนาดนั้นเชียวเหรอ?

แต่ในเมื่อเธอเลือกเดินในเส้นทางนี้ เขาเองก็ไม่มีอะไรจะพูด ท้ายที่สุดสำหรับเขา มอบจุดอ่อนที่ไร้ความสำคัญของเจียงเจ๋อให้แก่เธอ อย่างไรเสียก็ง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย

"ฉันจะไปรวบรวมหลักฐานและมอบให้เธอในวันจันทร์" เฉินลู่เหลือบมองเธอและหันหลังเดินจากไป

สวีซุ่ยหนิงมองไปยังประตูที่เขาจากไป ในไม่ช้าโจวอี้เดินมาและควงแขนเขา ทั้งสองคนเดินจากไปพร้อมกัน

เมื่อลั่วจือเห้อเข้ามาด้านในราวกับว่าสติของเขาหลุดลอย เธอเอ่ยเรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นเขากล่าว "เฉินลู่ตกลงแต่งงานกับโจวอี้แล้ว อาจจะแต่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ คาดว่าเร็วๆนี้คงจะได้ดื่มเหล้าในงานเลี้ยงฉลองของพวกเขา"

เมื่อครู่ที่เขาอยู่หน้าประตู เขาได้คุยกับโจวอี้สองสามประโยค ได้ยินมาว่าเฉินลู่ได้เริ่มหาคนจัดเตรียมชุดแต่งงานแล้ว มัดจำชุดแต่งงานไปแล้วหลายล้านหยวน

สวีซุ่ยหนิงขมวดคิ้วและเอ่ย "นายกำลังจะบอกฉันว่าให้เลิกคิดถึงเฉินลู่ได้แล้วใช่หรือเปล่า?"

ลั่วจือเห้อยิ้ม "แม่สาวหน้าอกใหญ่ เธอฉลาดแสนรู้จริงๆ"

“ฉันไม่ได้คิดถึงเขา” เธอจ้องมองเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง "ในตอนแรกที่เจอเขาฉันหน้าแดงระเรื่อ คิดว่าเขาหล่อมาก เขามีเสน่ห์มากทั้งในด้านการศึกษา ไอคิวรวมถึงอาชีพการงาน ทว่าแต่ไหนแต่ไรฉันก็ไม่เคยคิดจะคบหากับเขา ไม่เคยคิดจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเขาด้วย"

ช่องว่างระหว่างคนสองคนนั้นใหญ่เกินไป อีกฝ่ายยังเย็นชา ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นคนรักของกันและกัน

ลั่วจือเห้อเปิดกล่องอาหารกลางวันให้เธอพลางเอ่ย "แม่ของเฉินลู่ยังไม่สนับสนุนการแต่งงานครั้งนี้ แต่เธอก็ไม่อาจหยุดยั้งเฉินลู่ได้"

เธอได้แสดงท่าทีไปแล้ว ทว่าเขายังคงพูดคุยถึงหัวข้อนี้ ให้ได้ชัดว่ามีบางอย่างแฝงในคำพูดของเขา

สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "เพื่อนร่วมชั้นลั่ว นายมีอะไรอยากจะคุยกับฉันไหม?"

ลั่วจือเห้อยิ้มและพูด "แม่สาวหน้าอกใหญ่ มีฉันอีกคน ที่เธอไม่สามารถชอบได้"

"อืม ฉันรู้แล้ว" เธอฝืนยิ้ม ก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วและกินข้าวอย่างสงบนิ่ง

"ผู้หญิงที่ชอบฉันมีเยอะพอสมควร ฉันมีปัญหาเช่นเดียวกับเฉินลู่ ครอบครัวฉันค่อนข้างจู้จี้จุกจิก" ลั่วจือเห้อเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ "และฉันไม่เหมือนกับเฉินลู่ ฉันไม่ค่อยต่อต้านครอบครัว"

สวีซุ่ยหนิงค่อยๆกัดเนื้อหมูผัดซอสแดง ซอสเปื้อนมุมปากของเธอ

หัวใจของลั่วจือเห้อกระชับแน่น เขาลูบศีรษะเธอและเอ่ย "แม่สาวหน้าอกใหญ่ คิดว่าฉันพูดกับเธอรุนแรงไปใช่ไหม"

สวีซุ่ยหนิงวางตะเกียบลง เธอส่ายหน้าและพูด "นายได้อธิบายไว้อย่างชัดเจน นั่นเป็นเพราะนายเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ไม่อยากให้ฉันรู้สึกแย่และคิดเกินเลย ฉันไม่มีทางคิดอะไรกับนายอย่างนั้นแน่ เป็นเพื่อนกับนาย เท่านี้ก็ดีมากแล้ว"

ลั่วจือเห้อกระตุกยิ้มมุมปาก

เขาไม่รู้เลยว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาจะคิดกับเขาในทางที่ดีเช่นนี้

เรื่องนี้ทำให้เขามีความกระตือรือร้นในตัวเธอมากขึ้น ท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนพาเธอออกจากโรงพยาบาลด้วยตัวเขาเอง

ในวันที่ออกจากโรงพยาบาล สวีซุ่ยหนิงเห็นว่าซูเล่อฉีวิ่งหนีเฉินลู่ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ไม่รู้ว่าเรื่องการแต่งงานของเขาทำให้เธอเศร้าโศกเสียใจใช่หรือไม่

ทว่าเมื่อเทียบกับโจวอี้แล้ว เธอนั้นมีสถานะที่เจ็บปวดกว่าอย่างแน่นอน

สวีซุ่ยหนิงย้อนนึกถึงตัวเอง เมื่อตัวเธอเทียบกับซูเล่อฉีแล้วยังน่าสงสารเสียกว่า เมื่อตอนที่เธออยู่กับซูเล่อฉี เฉินลู่ก็เลือกปกป้องซูเล่อฉี

จู่ๆลั่วจือเห้อเอ่ยขึ้น "ก่อนหน้านี้เป็นเพราะโจวอี้ เฉินลู่เคยปฏิเสธผู้หญิงมานับไม่ถ้วน ผู้หญิงเหล่านั้นต่างขู่เขาว่าจะกระโดดตึก เขาก็เพิกเฉย เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ยามที่ได้เผชิญกับชีวิตของคน เขายังคงมีสติและสมาธิ เขาเหมาะสมที่จะเป็นหมอจริงๆ"

สวีซุ่ยหนิงนิ่งเงียบและไม่เอ่ยตอบ

....

หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล เธอและลั่วจือเห้อก็พบหน้ากันน้อยลง

อาการบาดเจ็บของเจียงเจ๋อยังไม่ดีเท่าไรนัก เขาไม่ได้มาตามหาเธอ กระทั่งเธอย้ายบ้านเสร็จก็ไม่ปรากฏตัว เพียงแค่ใช้หมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยโทรมาขอโทษเธอ

เมื่อสวีซุ่ยหนิงได้ยินเสียงของเขา เธอก็รู้สึกรังเกียจและยากเกินจะรับได้ เธอไม่รับฟังและตัดสายทิ้งไป

เธอไม่พบกับเฉินลู่เลยเช่นกัน มีเพียงครั้งหนึ่ง เขาขับรถมากับโจวอี้และผ่านเส้นทางหน้าโรงเรียนของเธอ มองผ่านกระจกรถ เธอมองเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเขา

เพียงแค่ชั่วพริบตา รถของเขาก็แล่นจากไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน