สวีซุ่ยหนิงรู้สึกว่าพฤติกรรมของลั่วจือเห้อนั้นดีมาก ไม่ต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือสำหรับการจัดการเจียงเจ๋อ ทว่าเธอก็ยังถามเขา "หากว่าฉันต้องการจีบลั่วจือเห้อ นายจะช่วยอะไรฉันได้?"
เสื้อกาวน์ที่เขาสวมใส่ทำให้เขาดูเย็นชาเป็นพิเศษ เขาจ้องมองเธอ "จะจับผู้ชายอย่างไร ฉันย่อมรู้ดีกว่าเธอ"
สวีซุ่ยหนิงส่ายหน้าและเอ่ย "ฉันไม่อยากใช้เขาเป็นเครื่องมือ ลั่วจือเห้อเป็นคนดี เขาเป็นเพื่อนกับเจียงเจ๋อ ไม่ควรลากเขาเข้ามาข้องเกี่ยว"
"ฉันและเจียงเจ๋อเป็นญาติกัน ตอนที่เธอดึงฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ดูกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วเชียว" เฉินลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
สวีซุ่ยหนิงครุ่นคิดภายในใจ นั่นไม่ใช่เพราะว่าในตอนนั้นนายแสดงท่าทีเป็นชายโฉดหรอกหรือ ถ้าเธอรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและโจวอี้ดีต่อกันขนาดนั้น เธอก็คงไม่ดึงเขาเข้ามาข้องเกี่ยวหรอก
สิ่งต้องห้ามที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของเธอ การทำลายความรู้สึกของผู้อื่นเป็นเรื่องผิดศีลธรรม
"เรื่องของเจียงเจ๋อ ฉันก็ไม่เต็มใจรับความช่วยเหลือเท่าไรนัก นายบอกจุดอ่อนของเขาให้ฉันรู้ก็ได้ ที่เหลือฉันจัดการเอง หลังจากนั้นไม่ว่าฉันจะล้มเขาได้หรือว่าตระกูลเจียงจะคอยปกป้องคุ้มครองเขา เรื่องนั้นก็จะเป็นเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวข้องกับนาย ฉันจะไม่ไปขอความช่วยเหลือจากนายอีก" สวีซุ่ยหนิงกล่าว
เฉินลู่เลิกคิ้วและเอ่ย "คนที่มีจุดอ่อนของเจียงเจ๋อเยอะก็จริง แล้วเธอเคยเห็นเจียงเจ๋อมีเรื่องอะไรบ้างไหม?"
"ฉันบอกไปแล้ว นั่นเป็นเรื่องของฉัน จะสำเร็จหรือไม่ มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาย"
เฉินลู่รู้สึกว่าสวีซุ่ยหนิงนั้นสมองทึบ เธอเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปคิดจะต่อกรกับเจียงเจ๋องั้นเหรอ? สุดท้ายแล้วคนที่จะเจ็บตัวก็คือเธอเพียงคนเดียว
จำเป็นจะต้องทะนุถนอมลั่วจือเห้อขนาดนั้นเชียวเหรอ?
แต่ในเมื่อเธอเลือกเดินในเส้นทางนี้ เขาเองก็ไม่มีอะไรจะพูด ท้ายที่สุดสำหรับเขา มอบจุดอ่อนที่ไร้ความสำคัญของเจียงเจ๋อให้แก่เธอ อย่างไรเสียก็ง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย
"ฉันจะไปรวบรวมหลักฐานและมอบให้เธอในวันจันทร์" เฉินลู่เหลือบมองเธอและหันหลังเดินจากไป
สวีซุ่ยหนิงมองไปยังประตูที่เขาจากไป ในไม่ช้าโจวอี้เดินมาและควงแขนเขา ทั้งสองคนเดินจากไปพร้อมกัน
เมื่อลั่วจือเห้อเข้ามาด้านในราวกับว่าสติของเขาหลุดลอย เธอเอ่ยเรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นเขากล่าว "เฉินลู่ตกลงแต่งงานกับโจวอี้แล้ว อาจจะแต่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ คาดว่าเร็วๆนี้คงจะได้ดื่มเหล้าในงานเลี้ยงฉลองของพวกเขา"
เมื่อครู่ที่เขาอยู่หน้าประตู เขาได้คุยกับโจวอี้สองสามประโยค ได้ยินมาว่าเฉินลู่ได้เริ่มหาคนจัดเตรียมชุดแต่งงานแล้ว มัดจำชุดแต่งงานไปแล้วหลายล้านหยวน
สวีซุ่ยหนิงขมวดคิ้วและเอ่ย "นายกำลังจะบอกฉันว่าให้เลิกคิดถึงเฉินลู่ได้แล้วใช่หรือเปล่า?"
ลั่วจือเห้อยิ้ม "แม่สาวหน้าอกใหญ่ เธอฉลาดแสนรู้จริงๆ"
“ฉันไม่ได้คิดถึงเขา” เธอจ้องมองเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง "ในตอนแรกที่เจอเขาฉันหน้าแดงระเรื่อ คิดว่าเขาหล่อมาก เขามีเสน่ห์มากทั้งในด้านการศึกษา ไอคิวรวมถึงอาชีพการงาน ทว่าแต่ไหนแต่ไรฉันก็ไม่เคยคิดจะคบหากับเขา ไม่เคยคิดจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเขาด้วย"
ช่องว่างระหว่างคนสองคนนั้นใหญ่เกินไป อีกฝ่ายยังเย็นชา ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นคนรักของกันและกัน
ลั่วจือเห้อเปิดกล่องอาหารกลางวันให้เธอพลางเอ่ย "แม่ของเฉินลู่ยังไม่สนับสนุนการแต่งงานครั้งนี้ แต่เธอก็ไม่อาจหยุดยั้งเฉินลู่ได้"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...