แม่ลั่วไม่แน่ใจว่าที่เธอรู้สึกไม่ค่อยชินแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างจะเฉยชาต่อความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงแล้วอยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปหรือเปล่า
แน่นอน สวีซุ่ยหนิงก็ไม่ชินที่โดนคนจ้องเยอะแยะแบบนี้ โดยเฉพาะน้องชายที่เป็นญาติของลั่วจือเห้อ ตอนนี้เขากำลังใช้สายตาที่บ่งบอกว่าเธอเป็นคนแย่งของของเขาไปมองเธอ
เธอจึงทำได้เพียงส่งยิ้มให้เด็กชายคนนั้น
......หลังจากนั้น อีกฝ่ายก็หน้าแดงแล้วหันไปทางอื่น
สวีซุ่ยหนิงทนอยู่ที่บ้านตระกูลลั่วต่อไม่ไหว เธอโดนแม่ลั่วชวนคุยอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเธอก็เอ่ยลา
ก่อนจะไป ลั่วจือเห้อยังยัดขนมจากต่างประเทศถุงใหญ่ใส่มือเธอ เดิมทีขนมพวกนี้เขาซื้อมาฝากลูกของญาติ แต่ตอนนี้เขาแบ่งมันให้กับสวีซุ่ยหนิงไปครึ่งหนึ่ง
น้องชายเขาเอ่ยอย่างอิจฉา: "ผมก็อยากได้"
ลั่วจือเห้อมองเขา แล้วเอ่ย: "พวกนี้ให้พี่สาวไปก่อน ครั้งหน้าเดี๋ยวพี่ซื้อมาให้ใหม่"
"แต่ว่าพี่สาวไม่ใช่เด็กเสียหน่อย" น้องชายเขาเอ่ยเสียงเบา
สวีซุ่ยหนิงเกรงใจมากจริงๆ เธอเอ่ยว่า: "ของพวกนี้ให้น้องนายไปเถอะ ฉันซื้อเองได้"
ลั่วจือเห้อยิ้มแล้วมองไปยังน้องชาย: "พี่สาวเขาจะไม่ใช่เด็กได้ยังไง นายดูนายสิ สิบกว่าขวบเอง แต่จะสูงกว่าพี่เขาแล้วนะ"
จากนั้นก็หันหน้ามามองสวีซุ่ยหนิงแล้วเอ่ยว่า "ไม่เป็นไร เธอก็ชอบกินขนมเหมือนกัน เธอเชื่อฉัน แล้วเอากลับไปเถอะน่า"
เดิมทีเขาก็จะไปส่งเธอด้วยตัวเอง แต่ว่าสวีซุ่ยหนิงยืนยันที่จะกลับเองให้ได้
รอจนเธอออกไปแล้ว น้องชายเขาก็เอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ: "พี่มีภรรยาแล้วก็ไม่สนใจน้องชาย ต่อไปถ้าพี่มีลูกพี่ก็คงจะไม่ยอมดูแล"
ลั่วจือเห้อมองเขา
น้องชายเขาเอ่ยว่า: "เพราะว่าซ้อสวยพี่ก็เลยลำเอียงเข้าข้างซ้อ แถมยังคีบกับข้าว แกะเปลือกกุ้งให้เธออีก แต่ก่อนผมขอให้พี่ช่วยแกะให้ พี่ด่าผมว่าไม่มีมือแกะเอง ไม่ยุติธรรมเลย"
ลั่วจือเห้อหัวเราะ: "นายเองก็รู้ตัวใช่ไหมว่าไม่ได้หน้าตาดีเหมือนเขา?"
เขาหยอกน้องเสร็จแล้วก็หันหน้าไปมองแม่ลั่ว แต่กลับเห็นว่าเธอมีสีหน้าอ่านยาก
แม่ลั่วหาข้ออ้างเรียกเขาไปที่ห้องครัว จริงๆ เธออยากจะพูดให้มันชัดเจนไปเลย แต่ก็ทนให้ลูกชายเสียใจไม่ได้ เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาอยู่ใกล้ผู้หญิง
เธอใช้เวลาไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องคุย สุดท้ายเธอก็เลยเอ่ยออกมาตรงๆ: "อาเห้อ ลูกอย่าหาว่าแม่พูดตรงเกินไปเลยนะ ที่บนโต๊ะกินข้าวลูกห้ามไม่ให้แม่ถาม เพราะพื้นหลังชีวิตของเธอไม่ค่อยดีใช่ไหม? แม่หวังว่าลูกจะใจเย็นลงหน่อย หาคนที่อยู่ระดับเดียวกันกับเราดีกว่า ถ้าต่างกันมากไป ไม่ใช่ว่าแม่จะดูถูกเธอ แต่ว่าตัวเธอเอง อาจจะรู้สึกว่าตัวเธอไม่ดีพอ"
ลั่วจือเห้อเอ่ย: "แม่ดูท่าทีที่เธอมีต่อผม ลูกของแม่ต่างหากที่ไปชอบเขา เขาอาจจะไม่รับรักก็ได้"
แม่ลั่วก็เหมือนแม่คนอื่นๆ ที่คิดว่าลูกชายของตัวเองนั้นเก่งที่สุด พอเขาพูดแบบนี้ เธอก็เลยไม่พอใจ: "ลูกหล่อขนาดนี้ แถมพ่อของลูกก็ยังปูพื้นฐานการเรียนของลูกมาอย่างดี เธอจะไม่ชอบลูกได้ยังไง?"
"แม่ แม่ต้องดูความเป็นจริงด้วย ลูกชายแม่กำลังจะอายุสามสิบแล้ว แต่ยังไม่แต่งงานเลยนะ"
ประโยคนี้ของลั่วจือเห้อ ทำให้สีหน้าของแม่ลั่วแข็งค้างไป มันทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ ถ้าเกิดว่าลูกชายของเธอดีขนาดนั้นจริงๆ จนกระทั่งตอนนี้ลูกของเธอก็ไม่น่าจะยังโสดอยู่
หรือว่าเป็นเพราะเธอมีความมั่นใจในตัวลูกชายมากเกินไป แต่คนอื่นคิดว่าลูกชายของเธอนั้นไม่มีอะไรโดดเด่นอย่างนั้นเหรอ?
ลั่วจือเห้อเห็นว่าแม่ของตัวเองเงียบไปครู่ใหญ่แล้ว เขาก็เอ่ยออกมาอีก: "ก่อนหน้านี้ผมก็อยากแต่งงานกับคนที่คล้ายๆ กัน จะได้มาช่วยครอบครัวบ้าง แต่ว่าผมคิดมานานมากแล้ว ผมยังอยากจะลองคบกับเธอดูสักครั้ง ความสุขของผมยังไงก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญถูกไหมครับ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...