ในเวลาอันรวดเร็วสวีซุ่ยหนิงถือกระเป๋าและเดินตรงไปหน้าประตูเครื่องบิน เธอมองลงไปด้านล่าง เธอยังสามารถมองเห็นเฉินลู่ที่กำลังลากกระเป๋าสีชมพูดตรงออกไปด้านนอกได้
ไม่รู้ทำไม หลังจากที่เลิกรากับโจวอี้ไปแล้ว เมื่อเทียบกับเฉินลู่เมื่อก่อนแล้ว เขาดูเปลี่ยนไปมาก
ผู้หญิง ไม่สิน่าจะเรียกว่าเด็กผู้หญิง ไม่ได้ใกล้ชิดกับเขาขนาดนั้น และทั้งสองก็ไม่มีความสัมพันธ์ที่เรียกว่าสนิทสนม
ต่างประเทศหนาวกว่าในประเทศ มือของสวีซุ่ยหนิงจับรถเข็นไปได้สักพัก มือของเธอก็เริ่มแข็งแล้ว
เฉินลู่บอกให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆไปกันก่อน ส่วนเขายืนเรียกรถอยู่หน้าประตู สวีซุ่ยหนิงเองก็เตรียมจะไปเรียกรถเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันได้เรียก เฉินลู่มองมาที่เธอพลางเอ่ย "ไปด้วยกัน"
"อืม" เธอพยักหน้าด้วยท่าทีอย่างห่างเหิน ไม่สามารถแสดงออกได้ว่ามีความสนิทสนมกับเขา เพื่อเลี่ยงที่จะทำลายความสัมพันธ์ของเขาและคู่ควง ถ้าถึงตอนนั้นเขาไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ตัวเธอเองที่จะแย่
เมื่อรถมาถึง สวีซุ่ยหนิงก็คิดที่จะยกกระเป๋าขึ้นไปวาง แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว เฉินลู่หันกลับมามองเธอ ยื่นมือมายกกระเป๋าให้เธอ
เด็กสาวที่อยู่ข้างๆก็เอ่ยขึ้น "รุ่นพี่ พวกคุณรู้จักกันเหรอ?"
เธอไม่ได้เรียกเขาว่าป๊ะป๋าต่อหน้าผู้คนแล้ว
ดังนั้นบนโลกใบนี้ ไม่รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังยังมีเรื่องเป็นมลทินอีกมากมายเท่าไร รุ่นพี่รุ่นน้องก็อาจมีความสัมพันธ์ที่ไม่สะอาด
เฉินลู่มองสวีซุ่ยหนิง ตอบรับ'อืม'อย่างไม่ใส่ใจ ดวงตาคู่นั้นส่งซิกให้สวีซุ่ยหนิงให้นั่งด้านหลัง
เธอชะงักและเข้าไปด้านใน เขาก็ไล่ตามหลังเธอมา สายตาของเขาเห็นว่าเด็กสาวคนนั้นกำลังจะขึ้นมา เฉินลู่เอ่ย "ด้านหลังอึดอัดแล้ว เธอไปนั่งด้านหน้าเถอะ"
เด็กสาวคนนั้นชะงักงัน เธอยิ้มและกล่าว "โอเคค่ะ"
เฉินลู่นั้นค่อนข้างเงียบขรึม เขานิ่งเงียบ หลับตาลงและพักผ่อน
สวีซุ่ยหนิงเองก็ง่วง เมื่อคืนเฉินลู่ก่อกวนจนดึกดื่น ทั้งยังต้องตื่นเช้า ร่างกายของเธอแทบไร้เรี่ยวแรง
ทั้งสองคนที่นั่งด้านหลังต่างก็หลับตา ร่างกายของสวีซุ่ยหนิงโอนเอนไปมาและเอนไปพิงกับร่างกายของเฉินลู่
ด้วยแรงกดทับบริเวณไหล่ทำให้ชายคนนั้นลืมตาขึ้น เขาไม่ได้ขยับเขยื้อน จากนั้นเขาหลับตาลงอีกครั้ง
หญิงสาวมองพวกเขาจากกระจกมองหลัง เธอเม้มริมฝีปากและไม่เอ่ยอะไร
ก่อนที่จะลงจากรถ เฉินลู่ก็ตื่นขึ้น เขาบีบเอวของสวีซุ่ยหนิงและปลุกให้เธอตื่น
สวีซุ่ยหนิงจัดระเบียบทรงผมของเธอ เมื่อลงจากรถ เธอยกกระเป๋า เฉินลู่ที่อยู่ด้านข้างก็จ้องมองเธอ
เด็กสาวเอ่ย "รุ่นพี่คะ ฉันยกกระเป๋าไม่ค่อยไหวค่ะ"
สวีซุ่ยหนิงครุ่นคิดภายในใจ กระเป๋าหนักเพียงห้ากิโลกรัม ทว่ากลับยกไม่ไหว คำว่า'ไม่ค่อย'คำนี้ เธอฉลาดเลือกใช้คำมาก แสดงให้เห็นถึงความบอบบางต้องการที่พึ่งพิง ทั้งยังทำให้คนรู้สึกว่าเธอนั้นได้พยายามแล้ว
เธอได้เรียนรู้อีกครั้ง
เฉินลู่ช่วยเด็กสาวคนนั้นยกกระเป๋าลงจากรถ จากนั้นเขาก็วางลง เขามองสวีซุ่ยหนิงพลางเอ่ยถาม "อยู่ชั้นไหน?"
สวีซุ่ยหนิงคิดในใจ เขาคือคนจองห้อง เธอจะไปรู้ได้อย่างไร
เธอไม่รู้ว่าที่เฉินลู่ถามเช่นนั้น คือต้องการให้เธอรู้ หรือว่าต้องการให้เธอไม่รู้ เธอเรียนรู้ที่จะเลือกใช้คำจากนั้นเอ่ย "หมอเฉิน ฉันจำไม่ค่อยได้แล้วล่ะค่ะ"
เฉินลู่เลิกคิ้วและเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "พูดให้ดี"
สวีซุ่ยหนิงมักจะมีจริตจะก้านบ้างเป็นครั้งคราว วันนี้เธอเล่นหูเล่นตามากกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเด็กสาวคนนั้น ทว่าเธอกลับถูกเกลียดชัง แท้จริงแล้วเมื่อเด็กสาวมีจริตจะก้านจะดูน่ารักน่าชมกว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...