เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน นิยาย บท 34

สวีซุ่ยหนิงรู้สึกมึนหัวอย่างรุนแรง "เอาล่ะ นายไม่ต้องพูดแล้ว"

เฉินลู่เอ่ยอย่างเย็นชา "ที่ฉันพูดมันก็คือข้อเสียของเธอ ในเมื่อมันเป็นข้อเสีย ก็ควรจะปรับปรุง"

"ไม่ต้องพูดแล้ว" สวีซุ่ยหนิงเอ่ยด้วยท่าทีอ่อนแรง "ฉันไม่ได้มีข้อเสียแบบนี้ วันนี้คือข้อยกเว้น หากนายจะมาเพื่อสั่งสอนฉัน งั้นช่วยรบกวนนายกลับไปเถอะ ฉันขอให้นายช่วยรอฉันหน่อย แต่นายกลับปฏิเสธ ฉันไม่สามารถสงบสติอารมณ์และฟังคำสอนของนายได้หรอกนะ"

"ฉันไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องรอเธอ" เฉินลู่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

สวีซุ่ยหนิงไม่อยากสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย

ความเป็นจริงเฉินลู่ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องคอยเธอ อย่างไรเธอก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา แล้วเขามีสิทธิอะไรมาสั่งสอนเธอ?

"หากเธอมาช้าอีกเพียงสองนาที เธอก็มาไม่ทันเครื่องแล้ว เที่ยวบินไฟล์ทถัดไปคือบ่ายสามโมง ถ้าเธอมัวแต่นอนโอ้เอ้ เธอก็จะเสียเวลาไปอีกครึ่งวัน" เฉินลู่เอ่ยอย่างไม่พอใจและเอ่ยด้วยคำพูดที่ผิดมนุษย์มนา "เวลาครึ่งวันสามารถทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง หากไม่สนใจเวลาครึ่งวัน อย่างไรเสียเธอก็เสียเวลาไปแล้ว ในขณะที่คนอื่นกำลังใช้เวลานี้เพื่อพัฒนาตนเอง ไม่น่าแปลกใจที่จะมีคนดูแคลนเธอ"

"ฉันบอกว่านายไม่ต้องพูดแล้ว" สวีซุ่ยหนิงรู้สึกน้อยใจเป็นอย่างมาก ดวงตาของเธอแดงก่ำและเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "เฉินลู่ ฉันบอกแล้วว่าวันนี้คือข้อยกเว้น ฉันรู้สึกว่าไม่ค่อยสบาย ฉันป่วย นายช่วยเลิกบงการฉันสักทีจะได้ไหม? ฉันเองก็เป็นแค่ผู้หญิง"

เฉินลู่ชะงักงัน เขาขมวดคิ้ว เขาเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเธอ หน้าผากของเธอร้อนมาก

สวีซุ่ยหนิงขัดขืนเล็กน้อย ไม่อยากให้เขาสัมผัสเธอ แต่เธอก็ไม่อาจขัดใจเขาได้ เธอขัดขืนไม่ได้อย่างที่ใจหวัง

เฉินลู่ยกมืออังหน้าผากของเธอ เขากำลังประเมินจากนั้นเขาเอ่ย "มีไข้นิดหน่อย"

"เมื่อคืนนี้ฉันหนาวจนแทบจะแข็ง" น้ำเสียงของเธอแหบพร่า ไม่ค่อยสดใสเหมือนเช่นปกติ "ดังนั้นนายเลิกพูดได้แล้ว ฉันปวดหัวมาก"

เฉินลู่ขมวดคิ้วและกล่าว "ทำไมไม่รีบบอกตั้งแต่แรก?"

“ที่นอนเมื่อกี้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองตื่นไม่ไหว อีกทั้งยังรู้สึกเวียนหัว” เปลือกตาของสวีซุ่ยหนิงหย่อนลงเล็กน้อย เธอรู้สึกอยากนอนอีกครั้ง

เดิมทีชายคนนั้นที่นั่งข้างเธอ เธอรู้สึกไม่สบายใจและไม่อยากนอน แม้ว่าเฉินลู่จะขัดเคือง แต่อย่างน้อยเธอก็สามารถนอนหลับได้

เฉินลู่กวักมือเรียกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินและขอยาลดไข้

"กินยาก่อน กินยาแล้วค่อยนอน"

สวีซุ่ยหนิงพยายามลืมตาขึ้น มองยาในมือของเขา โดยไม่ครุ่นคิด เธอก้มกินยาจากนิ้วมือของเขาและกลืนลงไป

เฉินลู่รู้สึกว่ามือของเขานั้นอุ่นเล็กน้อย ลิ้นของสวีซุ่ยหนิงเพิ่งสัมผัสกับนิ้วมือของเขา

เด็กสาวไม่ได้ยินว่าเมื่อครู่พวกเขาพูดคุยอะไรกัน เธอเห็นเพียงแค่ว่าเฉินลู่ขอยาจากพนักงานต้อนรับ เธอเอ่ย "พี่คะ พี่สาวคนนั้นเป็นอะไรเหรอคะ?"

"ไม่ค่อยสบายน่ะ"

เดิมทีสวีซุ่ยหนิงใกล้จะเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว ทว่าเธอกลับตกใจตื่นด้วยเสียงของเฉินลู่ ร่างกายของเธอสั่นสะท้านเล็กน้อย

เขาลูบหลังเธอด้วยท่าทีปลอบโยนพร้อมกับพูด "นอนเถอะ"

สวีซุ่ยหนิงนอนแบบนี้ เธอรู้สึกปวดหลัง จากนั้นเธอครุ่นคิด เธอเอื้อมมือออกไปอย่างระมัดระวังและกอดเอวของเฉินลู่ไว้ เนื้อสัมผัส การซบพิงแบบนี้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย

เธอเห็นว่าเฉินลู่ไม่ได้ปฏิเสธ เธอจึงเอนตัวไปหาเขาด้วยความสบายใจ

ในการบินกลับประเทศจีน ต้องใช้เวลาประมาณเจ็ดถึงแปดชั่วโมงด้วยกัน สี่ชั่วโมงผ่านไป เฉินลู่สัมผัสหน้าผากของสวีซุ่ยหนิงอีกครั้ง เขาพบว่าไข้ลดลงแล้ว ในเวลานั้นพอดีกับเป็นช่วงเวลาทานอาหาร เมื่อพนักงานต้อนรับนำอาหารเที่ยงมาเสิร์ฟ เฉินลู่ก็ปลุกสวีซุ่ยหนิง

เฉินลู่มอบอาหารหนึ่งกล่องและน้ำต้มสุกให้แก่เธอพลางเอ่ย "กินข้าว"

"ไม่อยากกิน" สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "ฉันไม่อยากอาหาร แค่พักผ่อนก็พอแล้ว"

"ตอนเช้าก็ไม่ได้กินข้าว" เฉินลู่กล่าว "ถ้าไม่กินอะไรเลย ระบบภูมิคุ้มกันจะถดถอยลง ลุกขึ้นมากินสักสองคำ"

สวีซุ่ยหนิงไม่อยากกินเลยจริงๆ เฉินลู่ชำเลืองมองเธอและเอ่ย "งั้นดื่มน้ำหน่อย"

สวีซุ่ยหนิงดื่มน้ำไปหนึ่งแก้วใหญ่

ทันทีที่เธอเป็นไข้ ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ ในเวลานี้เมื่อมองไปริมฝีปากของเธอ ริมฝีปากเป็นสีชมพูเข้ม เฉินลู่จ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง เขาใช้แขนโอบรอบไหล่ของเธอไว้และก้มศีรษะลงประทับจูบบนริมฝีปากของเธอ

สวีซุ่ยหนิงสัมผัสเขา เธอค้นพบตำแหน่งที่สบายกว่าเมื่อครู่นี้ เธอรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย แต่ไม่ค่อยง่วงแล้ว เธอพลันนึกถึงคนก่อนหน้านี้ที่นั่งที่เฉินลู่ เธอเอ่ย "ผู้ชายคนเมื่อกี้ เขาเอื้อมมือมาแตะต้องฉันด้วย"

เฉินลู่ชะงักเล็กน้อย "แตะต้องเธอตรงไหน?"

"ตรงเอว แต่ฉันหันไปมองเขาในทันทีเลย จากนั้นเขาก็ไม่เอื้อมมือออกมาอีก แต่สายตาของเขาจ้องมองมาตลอด มองจนฉันรู้สึกไม่สบายใจ" สวีซุ่ยหนิงกล่าว "ฉันไม่กล้าที่จะหลับเลย"

"ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้นอนต่อเถอะ" เฉินลู่กล่าว

"ฉันไม่ค่อยง่วงแล้วล่ะ"

เฉินลู่เห็นว่าในเวลานี้ดวงตาของเธอมีน้ำตาคลอเบ้า น่าสงสารมาก หัวใจของเขาสั่นไหว เขาโน้มตัวลงไปอีกครั้ง กัดริมฝีปากของเธอ ประทับจูบลงบนริมฝีปาก จูบที่เร่าร้อน

เนื่องจากเด็กสาวนั่งอยู่แถวหลัง มองไม่เห็นว่าเฉินลู่และสวีซุ่ยหนิงกำลังทำอะไรกัน เห็นเพียงแค่เขาค่อยๆโน้มตัวเข้าหาเธอ

เธอเกิดความอยากรู้อยากเห็น เธอยืดตัวตรงและเพ่งมอง ท้ายที่สุดกลับเห็นว่าเฉินลู่กำลังจูบสวีซุ่ยหนิง หญิงสาวหลับตา นุ่มนวลและอ่อนโยน เมื่อมองแล้วราวกับกำลังถูกรังแก แม้ว่าเฉินลู่จะไม่ได้ใส่ความรุนแรงลงไป แต่จูบนี้ยั่วยวนใจมากยิ่งนัก

หลังจากจูบแล้ว แขนของเขาโอบรัดรอบเอวของเธอ ให้เธอเอนกายพิงเขา จากนั้นเขายกมือขึ้นอังหน้าผากของเธออีกครั้ง

สีหน้าเด็กสาวแปรเปลี่ยนทันใด เธอเงยหน้าขึ้นมองกระเป๋าเดินทางของสวีซุ่ยหนิง มันเป็นแบบเดียวกันกับใบที่เธอเห็นในห้องชุดของเฉินลู่

เมื่อเด็กสาวกลับมานั่งที่ ดวงตาของเธอดูซับซ้อน

ไข้ของสวีซุ่ยหนิงลดลงแล้ว แต่หากว่าฤทธิ์ของยายังไม่หมดลง ก็ยากจะบอกได้ว่าเธอยังมีไข้อยู่หรือไม่

เฉินลู่เอ่ย "อีกเดี๋ยวลงเครื่อง ต้องไปโรงพยาบาล"

"ฉันไม่อยากไป นายเองก็เป็นหมอไม่ใช่เหรอ ตรวจให้ไม่ได้หรือไง?" สวีซุ่ยหนิงพูดด้วยความเหนื่อยหน่าย

"ฉันอยู่แผนกไหน เธอยังไม่รู้งั้นเหรอ?"

แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากเป็นไข้หวัดธรรมดา เฉินลู่ย่อมตรวจได้

สี่ชั่วโมงต่อมา เครื่องบินลงจอดยังสนามบิน

เฉินลู่หยิบกระเป๋าให้กับสวีซุ่ยหนิงและประคองเธอลงจากเครื่องบิน

เพื่อนร่วมงานเห็นแล้วอดสงสัยไม่ได้จึงเอ่ยถาม "คุณสวีเป็นอะไรไป?"

"เป็นหวัด" เฉินลู่เอ่ย "ฉันจะไปส่งเธอ"

"คงอาจเป็นเพราะว่าเมื่อวานนี้นั่งด้านนอก...." มาส่งอาหารให้เขา เธอจึงเป็นหวัด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน