สรุปตอน บทที่ 41 (1) – จากเรื่อง เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน โดย จิ่นอวิ๋น
ตอน บทที่ 41 (1) ของนิยายการโต้แย้งเรื่องดัง เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน โดยนักเขียน จิ่นอวิ๋น เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ที่จริงมีชั่วครู่หนึ่งที่สวีซุ่ยหนิงรู้สึกว่าเฉินลู่คนนี้ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งแฟนหนุ่มเลย ถ้าเป็นคนอื่น คงจะยืนขึ้นปกป้องเธอแล้ว
ลองคิดอีกนิด หากว่าเฉินลู่จะพูดแนะนำสักหน่อยว่านี่คือแฟนสาวของเขา นั้นคงจะเป็นเรื่องที่ฟินมาก
แต่เขาไม่ทำเช่นนั้นแน่
หลังจากเขาปรายสายตามองเธอครู่หนึ่ง ก็ดึงสายตากลับมาอย่างนิ่งเฉย
แบบนี้เธอก็ไม่สามารถพูดออกปากอะไรได้ ถ้าเธอพูดขึ้นเองว่าเฉินลู่เป็นแฟน แต่เขากลับนั่งเฉย เธอคงจะหน้าแตกไม่น้อย
เซี่ยจยาอี๋ทำเหมือนเป็นการขายของ ที่กล่าววาจาออกมาอย่างฉะฉาน และไม่ได้เกรงกลัวความเยือกเย็นของเฉินลู่เลย หล่อนสามารถหาหัวข้อสนทนามาทำให้บรรยากาศไม่ได้เยือกเย็นเกินไปได้
เฉินลู่ก็พูดคุยด้วยบางครั้งบางคราว
ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ถูกมองข้ามไปอยู่คนเดียว เธอทำได้เพียงเลื่อนโทรศัพท์บ้างบางครั้ง ถ้าเซี่ยจยาอี๋ไม่มาก็ดี เฉินลู่จะได้อยู่คุยเป็นเพื่อนเธอ แต่เมื่อหล่อนมา เธอก็ไม่มีโอกาสได้พูดอะไร
จนกระทั้งขึ้นเครื่องแล้ว สวีซุ่ยหนิงก็กลัวว่าพวกเขาสองคนจะคุยกันจนเพลินและเดินไปเลย เธอจึงเอ่ยปากขึ้น "เฉินลู่ กระเป๋า"
เมื่อชายหนุ่มยืนขึ้น ก็หยิบกระเป๋าใบน้อยของเธอถือไปด้วย
เซี่ยจยาอี๋มองมาที่เธอ พูดอย่างยิ้มแย้ม "เพื่อนร่วมชั้นสวีกระเป๋าคงไม่หนักหรอกมั้ง"
สวีซุ่ยหนิงเพียงตอบ "ฉันบาดเจ็บมาน่ะ อาการยังไม่หายดี ถือของหนักไปจะเจ็บ"
เซี่ยจยาอี๋เพียงพยักหน้า แล้วหันกลับไปมองเฉินลู่ พร้อมเอ่ย "ฉันจำได้ว่าตอนนั้นนายกระตือรือร้นที่จะติวหนังสือให้ฉันมาก ไม่คิดว่าตอนนี้นายยังคงใจดีกับเพื่อนร่วมชั้นอยู่"
เฉินลู่ไม่ได้สนใจหล่อน และขึ้นเครื่องบินไปกับสวีซุ่ยหนิง
บนเครื่อง เซี่ยจยาอี๋พูดคุยเรื่องของบริษัทกับเฉินลู่มาตลอดทาง ตอนท้ายก็พูดถึงการร่วมทุน แล้วยังพูดอีกว่า "ฉันบอกกับบอสว่าฉันมีวีแชทนาย และช่วงนี้เขาก็มีโปรเจคหนึ่งที่อยากจะร่วมงานกับนาย แล้วก็ส่งมาให้ฉันดูแล เฉินลู่ พวกเราก็เป็นเพื่อนเก่ากัน นายไม่ลองคุยเรื่องนี้กับคุณพ่อนายดูล่ะ"
เฉินลู่เพียงตอบ "ฉันไม่ยุ่งกับงานของบริษัท"
เซี่ยจยาอี๋ก็ยังคงไม่ลดละ ทำการค้าหน้าต้องหนาขึ้นมาหน่อย หล่อนยังคงยิ้ม "งั้นหากนายเปลี่ยนใจนายช่วยฉันนัดคุณพ่อนายให้หน่อยสิ แล้วฉันจะเลี้ยงข้าวนาย"
ครั้งนี้เฉินลู่กล่าวอย่างประชดประชัน "ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงค่อยดูอีกที"
สวีซุ่ยหนิงพูดขึ้น "เฉินลู่ นายพกหูฟังมาไหม ฉันอยากฟังเพลง"
"แชร์หูฟังกันใช้จะมีแบคทีเรีย"เฉินลู่พูด
หลายวันมานี้สวีซุ่ยหนิงก็พอจะเข้าใจความเอาแต่ใจของเขาแล้ว ว่าเขามักพูดกลับไปกลับมา แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เธอต้องการใช้ เขาก็ไม่ควรจะปฏิเสธเสียงแข็ง ของใช้ของเฉินลู่ก็ล้วนอยู่ในกระเป๋าของเธอ เธอจึงเอื้อมมือไปหยิบเอง
แม้หูฟังเขาจะเป็นของแบรนด์เนม แต่คุณภาพก็ธรรมดาทั่วไป
อย่างไรเสียเธอเองก็คงไม่ยอมจ่ายเงินไปกับของที่ไม่คุ้มราคาแบบนี้
เฉินลู่เพียงมองครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร
สายตาของเซี่ยจยาอี๋ถึงได้มาโฟกัสที่สวีซุ่ยหนิงอีกครั้ง หลังจากนั้นหล่อนก็เห็นกระเป๋าใบละหลายแสนที่อยู่ในมือเธอ หล่อนถามขึ้นอย่างประหลาดใจเล็กน้อย "เพื่อนร่วมชั้นสวี กระเป๋าเธอเป็นของแบรนด์เนมใช่ไหม ของแท้หรือเปล่า"
เมื่อพูดถึงเรื่องกระเป๋า เป็นเพราะเซี่ยซีคิดว่าเฉินลู่เอาเปรียบเธอ ถึงได้ส่งกระเป๋าใบนี้ให้เธอ
และเรื่องของพ่อสวีตอนนี้ก็ได้รับการรับประกันแล้ว สวีซุ่ยหนิงจึงไม่ได้สนใจเรื่องเงินทองเท่าไหร่แล้ว แม้เธอไม่ต้องการแต่เซี่ยซีบอกกับเธอว่า มีเงินก็อย่าเขลา นี่เป็นสิ่งที่เธอตั้งใจมอบให้ เพียงรับไปอย่างใจกว้างก็พอแล้ว หากต่อไปได้รับความอยุติธรรมจากเฉินลู่ ได้ของติดไม้ติดมือไปหน่อยก็ไม่เสียเปรียบแล้ว
"ของแท้สิ" สวีซุ่ยหนิงตอบ
อึดอัดใจจนเมื่อเธอถึงเวลาไปงานแต่ง เธอก็ไม่ได้รอเฉินลู่ แต่กลับเรียกรถไปที่งานเองคนเดียว
เขาโทรมาหาเธอสองสาย เธอก็ตัดสายทิ้งไป
ดีที่มีเพื่อนเก่าไม่น้อยที่นี่ และล้วนเป็นคนที่สวีซุ่ยหนิงรู้จัก ซึ่งก็ไม่ง่ายเลยที่จะได้พบปะกัน เมื่อพูดคุยกันก็รื่นรมย์ไม่น้อยเลย
พูดคุยกันได้ไม่นาน เธอก็เห็นว่าเฉินลู่และเซี่ยจยาอี๋ก็มาถึง และเพิ่งเดินเข้ามา
เมื่อเซี่ยจยาอี๋มาทักทายเพื่อนเก่า ก็แสร้งเมินเฉยใส่สวีซุ่ยหนิง
ผู้ที่อยู่ด้านข้างก็พูดปลอบสวีซุ่ยหนิงประโยคหนึ่ง "เธออย่าไปสนใจเลย เมื่อก่อนเซี่ยจยาอี๋ชอบเหลียงเล่อ แต่เหลียงเล่อไม่เคยสนใจหล่อน ดังนั้นหล่อนจึงอิจฉาเธอ"
เมื่อสวีซุ่ยหนิงได้ยินเขาพูดแบบนั้น ก็คิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นมือที่สามของเหลียงเล่อ ตอนหลังโดนเหลียงเล่อด่าไปจนร้องไห้ ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นเธอ
เหลียงเล่อก็ยังเคยบอกว่าผู้หญิงคนนั้นชอบคิดเอาเองว่าเป็นแฟนเขา
เธอจึงไม่เข้าใจเลยว่า เซี่ยจยาอี๋ยังมีหน้ามาถามเรื่องที่เธอมีสิทธิ์อะไรมางานแต่ง เธอกับเหลียงเล่อลองคบกันแค่หนึ่งเดือน ต่อมาเขาก็หลีกเหลี่ยงเธอ และเราสองคนก็แยกย้ายกันไปโดยไม่มีอะไรผิดต่อกัน แต่เซี่ยจยาอี๋ที่คิดเองเออเองว่าตนเป็นแฟนสาวเขา มันยิ่งไม่เหมาะสมไปมากกว่าเสียอีกไม่ใช่เหรอ
สวีซุ่ยหนิงเห็นหล่อนพักหนึ่ง จากนั้นหล่อนเดินขึ้นไปทักทายเหลียงเล่อ
เหลียงเล่อเย็นชากับหล่อนมาก เขาเพียงพยักหน้าให้
เซี่ยจยาอี๋คล้ายกับจะผิดหวัง แต่เธอก็เปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วและพุ่งตัวไปยืนข้างเฉินลู่ หัวเราะคิกคักกับกลุ่มเพื่อนชายสมัยมหาลัย เมื่อทุกคนนั่งร่วมโต๊ะกับเฉินลู่ หล่อนก็นั่งลงข้างๆเฉินลู่
สวีซุ่ยหนิงจิบปาก เธอรำคาญจริงๆ และเดินไปหาที่นั่งที่ห่างกับเฉินลู่มากๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...