ที่จริงมีชั่วครู่หนึ่งที่สวีซุ่ยหนิงรู้สึกว่าเฉินลู่คนนี้ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งแฟนหนุ่มเลย ถ้าเป็นคนอื่น คงจะยืนขึ้นปกป้องเธอแล้ว
ลองคิดอีกนิด หากว่าเฉินลู่จะพูดแนะนำสักหน่อยว่านี่คือแฟนสาวของเขา นั้นคงจะเป็นเรื่องที่ฟินมาก
แต่เขาไม่ทำเช่นนั้นแน่
หลังจากเขาปรายสายตามองเธอครู่หนึ่ง ก็ดึงสายตากลับมาอย่างนิ่งเฉย
แบบนี้เธอก็ไม่สามารถพูดออกปากอะไรได้ ถ้าเธอพูดขึ้นเองว่าเฉินลู่เป็นแฟน แต่เขากลับนั่งเฉย เธอคงจะหน้าแตกไม่น้อย
เซี่ยจยาอี๋ทำเหมือนเป็นการขายของ ที่กล่าววาจาออกมาอย่างฉะฉาน และไม่ได้เกรงกลัวความเยือกเย็นของเฉินลู่เลย หล่อนสามารถหาหัวข้อสนทนามาทำให้บรรยากาศไม่ได้เยือกเย็นเกินไปได้
เฉินลู่ก็พูดคุยด้วยบางครั้งบางคราว
ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ถูกมองข้ามไปอยู่คนเดียว เธอทำได้เพียงเลื่อนโทรศัพท์บ้างบางครั้ง ถ้าเซี่ยจยาอี๋ไม่มาก็ดี เฉินลู่จะได้อยู่คุยเป็นเพื่อนเธอ แต่เมื่อหล่อนมา เธอก็ไม่มีโอกาสได้พูดอะไร
จนกระทั้งขึ้นเครื่องแล้ว สวีซุ่ยหนิงก็กลัวว่าพวกเขาสองคนจะคุยกันจนเพลินและเดินไปเลย เธอจึงเอ่ยปากขึ้น "เฉินลู่ กระเป๋า"
เมื่อชายหนุ่มยืนขึ้น ก็หยิบกระเป๋าใบน้อยของเธอถือไปด้วย
เซี่ยจยาอี๋มองมาที่เธอ พูดอย่างยิ้มแย้ม "เพื่อนร่วมชั้นสวีกระเป๋าคงไม่หนักหรอกมั้ง"
สวีซุ่ยหนิงเพียงตอบ "ฉันบาดเจ็บมาน่ะ อาการยังไม่หายดี ถือของหนักไปจะเจ็บ"
เซี่ยจยาอี๋เพียงพยักหน้า แล้วหันกลับไปมองเฉินลู่ พร้อมเอ่ย "ฉันจำได้ว่าตอนนั้นนายกระตือรือร้นที่จะติวหนังสือให้ฉันมาก ไม่คิดว่าตอนนี้นายยังคงใจดีกับเพื่อนร่วมชั้นอยู่"
เฉินลู่ไม่ได้สนใจหล่อน และขึ้นเครื่องบินไปกับสวีซุ่ยหนิง
บนเครื่อง เซี่ยจยาอี๋พูดคุยเรื่องของบริษัทกับเฉินลู่มาตลอดทาง ตอนท้ายก็พูดถึงการร่วมทุน แล้วยังพูดอีกว่า "ฉันบอกกับบอสว่าฉันมีวีแชทนาย และช่วงนี้เขาก็มีโปรเจคหนึ่งที่อยากจะร่วมงานกับนาย แล้วก็ส่งมาให้ฉันดูแล เฉินลู่ พวกเราก็เป็นเพื่อนเก่ากัน นายไม่ลองคุยเรื่องนี้กับคุณพ่อนายดูล่ะ"
เฉินลู่เพียงตอบ "ฉันไม่ยุ่งกับงานของบริษัท"
เซี่ยจยาอี๋ก็ยังคงไม่ลดละ ทำการค้าหน้าต้องหนาขึ้นมาหน่อย หล่อนยังคงยิ้ม "งั้นหากนายเปลี่ยนใจนายช่วยฉันนัดคุณพ่อนายให้หน่อยสิ แล้วฉันจะเลี้ยงข้าวนาย"
ครั้งนี้เฉินลู่กล่าวอย่างประชดประชัน "ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงค่อยดูอีกที"
สวีซุ่ยหนิงพูดขึ้น "เฉินลู่ นายพกหูฟังมาไหม ฉันอยากฟังเพลง"
"แชร์หูฟังกันใช้จะมีแบคทีเรีย"เฉินลู่พูด
หลายวันมานี้สวีซุ่ยหนิงก็พอจะเข้าใจความเอาแต่ใจของเขาแล้ว ว่าเขามักพูดกลับไปกลับมา แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เธอต้องการใช้ เขาก็ไม่ควรจะปฏิเสธเสียงแข็ง ของใช้ของเฉินลู่ก็ล้วนอยู่ในกระเป๋าของเธอ เธอจึงเอื้อมมือไปหยิบเอง
แม้หูฟังเขาจะเป็นของแบรนด์เนม แต่คุณภาพก็ธรรมดาทั่วไป
อย่างไรเสียเธอเองก็คงไม่ยอมจ่ายเงินไปกับของที่ไม่คุ้มราคาแบบนี้
เฉินลู่เพียงมองครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร
สายตาของเซี่ยจยาอี๋ถึงได้มาโฟกัสที่สวีซุ่ยหนิงอีกครั้ง หลังจากนั้นหล่อนก็เห็นกระเป๋าใบละหลายแสนที่อยู่ในมือเธอ หล่อนถามขึ้นอย่างประหลาดใจเล็กน้อย "เพื่อนร่วมชั้นสวี กระเป๋าเธอเป็นของแบรนด์เนมใช่ไหม ของแท้หรือเปล่า"
เมื่อพูดถึงเรื่องกระเป๋า เป็นเพราะเซี่ยซีคิดว่าเฉินลู่เอาเปรียบเธอ ถึงได้ส่งกระเป๋าใบนี้ให้เธอ
และเรื่องของพ่อสวีตอนนี้ก็ได้รับการรับประกันแล้ว สวีซุ่ยหนิงจึงไม่ได้สนใจเรื่องเงินทองเท่าไหร่แล้ว แม้เธอไม่ต้องการแต่เซี่ยซีบอกกับเธอว่า มีเงินก็อย่าเขลา นี่เป็นสิ่งที่เธอตั้งใจมอบให้ เพียงรับไปอย่างใจกว้างก็พอแล้ว หากต่อไปได้รับความอยุติธรรมจากเฉินลู่ ได้ของติดไม้ติดมือไปหน่อยก็ไม่เสียเปรียบแล้ว
"ของแท้สิ" สวีซุ่ยหนิงตอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...