สรุปเนื้อหา บทที่ 42 (1) – เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน โดย จิ่นอวิ๋น
บท บทที่ 42 (1) ของ เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน ในหมวดนิยายการโต้แย้ง เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย จิ่นอวิ๋น อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เดิมทีสวีซุ่ยหนิงง่วงมาก แต่ทว่าเธอยังต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรเฉินลู่จึงเอ่ยถึงโจวอี้กับเธอ
แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังคงหลงเหลือเส้นทางให้เขาและโจวอี้ ปากบอกว่าแก้แค้นโจวอี้ แต่เมื่อดูแล้วเหมือนกับว่าเขามอบความทรงจำที่แสนยาวนานให้เธอมากกว่า
ที่เซี่ยซีเอ่ยเรื่องการตั้งครรภ์ของโจวอี้ น่าจะไม่ใช่เรื่องจริง
ในตอนนั้นสวีซุ่ยหนิงเองรู้สึกประหลาดใจมากสำหรับเรื่องที่โจวอี้ไปแต่งงานกับเฒ่าชรา อย่างไรเสียมีอดีตแฟนอย่างเฉินลู่อยู่ตรงหน้า เธอก็ไม่น่าจะแสวงหาคนอายุมากปูนนั้น และเธอก็ไม่น่าจะขาดตกบกพร่องในเรื่องเงิน เฉินลู่ใจป๋ากับเธอขนาดนั้น เธอน่าจะกอบโกยเงินไปได้ไม่น้อย
"วันนี้หล่อนโทรหานายทำไม?" สวีซุ่ยหนิงลุกขึ้น
เฉินลู่ตอบ "ยืมเงิน"
สวีซุ่ยหนิงครุ่นคิด เกรงว่าการยืมเงินอาจจะไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริง คาดว่าน่าจะเป็นการทดสอบท่าทีของเฉินลู่ที่มีต่อเธอในตอนนี้ หากว่ายินดีให้ยืม นั่นหมายความว่ายังคงมีเยื่อใย
แต่ระหว่างเฉินลู่และโจวอี้จะเป็นอย่างไร นั่นก็คือเรื่องระหว่างพวกเขา จะให้ยืมหรือไม่ให้ยืม เธอไม่สามารถออกความเห็นอะไรได้
สวีซุ่ยหนิงหาวพลางเอ่ย "เมื่อเธอกลับมาแล้วฉันจะเดินออกไปจากนายเอง"
เฉินลู่ชะงัก เขาหรี่ดวงตาและจ้องมองเธอ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ "ความคิดเธอเปิดกว้างมากนะ"
สวีซุ่ยหนิงเอนกายนอนลงอีกครั้งและพูด "ก็สมควรแล้ว ฉันไม่ใช่คนที่แย่งชิงของรักของคนอื่นหรอก นายและหล่อนรักกันด้วยใจจริง หากฉันก่อกวนสร้างปัญหาก็คงจะไม่เข้าท่าเท่าไร"
เฉินลู่รับฟัง เขากลับไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้เธอนอน เขาเอนกายนอนลงด้านข้าง โน้มตัวกระซิบข้างหูของเธอ "สวีซุ่ยหนิง ตอนนี้สถานะของเธอก็เปิดเผยแล้ว จะมาพูดว่าจากไปอะไรของเธอ?"
ในเวลานี้สวีซุ่ยหนิงมีบางอย่างอยากจะพูด เธอผลักเฉินลู่ที่กำลังโอบกอดเธอและพลิกตัวกลับมา "ฉันเองก็เป็นคนมีเหตุผล ทำไมฉันไม่เคยเห็นนายคอยช่วยฉันจัดการยัยเซี่ยจยาอี๋เลย ฉันจะบอกนายให้นะ หากผู้ชายคนไหนก็ตามที่ฉันคิดจะจริงจังด้วย แต่เขาคนนั้นกลับไม่ปกป้องฉันในสถานการณ์แบบนี้ ฉันคงเลิกไปนานแล้ว"
เดิมทีเรื่องนี้จบไปนานแล้ว ทันทีที่นึกถึง เธอก็ยังคงโกรธเคืองอยู่
เฉินลู่เอ่ย "ดังนั้นเธอไม่ได้คิดจริงจังกับฉัน?"
ความคิดของผู้ชายคนนี้ก็ประหลาด ตัวเองไม่จริงจังน่ะไม่เป็นอะไร แต่หากสวีซุ่ยหนิงไม่จริงจัง เขากลับไม่ยินยอม
"ระหว่างเรานั้นเรียกว่าการพึ่งพาอาศัยกัน" สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "นายก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าที่รักอะไรแบบนี้หรอก ฉันคิดว่าคนอื่นเหมาะสมที่จะเป็นที่รักของนายมากกว่าฉัน เรียกฉันว่าต้นหญ้าก็แล้วกัน เป็นวัชพืชที่ไร้ความสำคัญ"
หาได้ยากนักที่เฉินลู่จะหัวเราะออกมา เขาชำเลืองมองเรือนร่างของเธอและเอ่ย "ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องเป็นดอกไม้ป่า ดูแปลกตาและมีเอกลักษณ์ มีส่วนโค้งมนด้านหลังและส่วนเว้าด้านหลัง"
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "ทำไมตอนนี้นายถึงหยาบคายได้แบบนี้"
เฉินลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่หยาบคาย?"
สวีซุ่ยหนิงเกือบจะโพล่งคำว่าลั่วจือเห้อออกไป แต่ไหนแต่ไรเขาก็แสดงให้เห็นถึงความชัดเจนระหว่างชายหญิงเสมอ แต่ทว่าเมื่อได้ไตร่ตรองแล้วเฉินลู่ไม่ชอบให้เธอเอ่ยถึงเขา ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดสิ่งใดออกไป
เฉินลู่เห็นว่าเธอนั้นมีอะไรจะพูด ท้ายที่สุดกลับกล้ำกลืนคำพูดนั้นลงคอ เขาเอ่ยอย่างมีความหมาย "ภายในใจมีคนที่เลือกไว้แล้วงั้นเหรอ?"
สวีซุ่ยหนิงส่ายหน้า ในตอนนี้เธอไม่อยากพูดคุยเรื่องไร้สาระกับเขาแล้ว ฤดูหนาวนี้ช่างหนาวเหน็บ เปิดเครื่องปรับอากาศไปก็เหมือนไร้ประโยชน์ เธอซุกร่างกายไว้ภายใต้ผ้าห่ม
เฉินลู่กล่าว "เธอคิดว่าผู้ชายจริงๆ ก็แค่ไม่ได้แสดงนิสัยอีกด้านออกมาต่อหน้าเธอเท่านั้น ผู้ชายย่อมเข้าใจผู้ชายด้วยกันเองที่สุด เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีผู้ชายที่ไม่กินดอกไม้ไฟของมนุษย์[1]"
สวีซุ่ยหนิงคิดว่าหากยังไม่นอนอีก พรุ่งนี้เช้าเธอจะตื่นไม่ไหว ดังนั้นเธอจึงไม่ตอบเขา เมื่อเธอตื่นในวันรุ่งขึ้น เธอกำลังซุกตัวอยู่ภายในอ้อมแขนของเฉินลู่ มือของเธอโอบรอบเอวของเขา ด้วยความไม่ระวังเผลอสัมผัสกับบางสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง เธอรีบดึงมือกลับในทันที
เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ สถานการณ์ที่สามารถชูชันได้ทุกที่ทุกเวลา น่าจะเกิดขึ้นกับคนที่มีประสบการณ์เพียงน้อยนิด แต่เฉินลู่มีประสบการณ์มาร่วมปีแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ นอกเหนือจากว่าเขาจะเป็นมือใหม่ แต่จะมองอย่างไรเขาก็ไม่สามารถเป็นมือใหม่ได้เลย
ท้ายที่สุดสวีซุ่ยหนิงก็ทำได้เพียงแค่สรุปว่าคนอย่างเฉินลู่นั้นเขามีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา
เธอพลันนึกได้ว่าเธอกำลังโอบกอดเขา เดี๋ยวเขาจะต้องพูดถึงเรื่องเชื้อโรคแบคทีเรียอีกแน่ จากนั้นเธอพลิกตัวและหันไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว
เฉินลู่ยังคงหลับอยู่ เธอไม่สามารถปลุกเขาได้ เช่นนั้นแล้วเธอจึงซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม
เมื่อมองไปสักพัก เฉินลู่ดึงเธอเข้าไปแนบชิด สวีซุ่ยหนิงกลัวว่าเมื่อถึงเวลาเขาจะย้อนกลับมาเล่นงานเธอ กล่าวหาว่าเธอนั้นจงใจแนบชิดเขา เช่นนั้นเธอจึงคิดที่จะลุกขึ้นจากเตียง
"ดิ้นทำไม?" เฉินลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
แท้ที่จริงเขาตื่นแล้ว
สวีซุ่ยหนิงไม่สามารถลุกขึ้นได้ เธอกล่าว "วันนี้ตอนเที่ยงเหลียงเล่อจะชวนเพื่อนเก่ามารวมตัวกัน ถึงเวลาที่จะต้องลุกแล้ว"
"อืม" เฉินลู่ตอบรับ มือของเขาโอบเอวของเธอไว้และค่อยๆขยับร่างกายของเธอ เธอนอนตะแขงข้างร่างกายแข็งทื่อ เขาขยับร่างกายเข้ามาและกัดคอของเธอ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมีความสนใจเป็นอย่างมาก
สวีซุ่ยหนิงพลันนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้มีหมอคนหนึ่งมาหาเขาที่บ้าน เธอเอ่ยปากถามเขา "นายป่วยเป็นอะไรเหรอ?"
เขาชะงักงันและกล่าว "มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตนิดหน่อยน่ะ ไม่ได้ร้ายแรงอะไร"
แน่นอนว่าเฉินลู่ไม่มีทางเอ่ยปากก่อน ที่นี่เขาไม่สนิทกับใครเลย เขาเพียงก้มหน้าเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์
จากนั้นไม่นานนัก เขาได้ยินเซี่ยจยาอี๋เอ่ย "เฉินลู่ เมื่อวานขอโทษด้วย ฉันไม่รู้ว่าสวีซุ่ยหนิงคือแฟนของนาย ฉันพูดจาล่วงเกินไปมากมาย น่าขุ่นเคืองมาก แม้ว่าเหลียงเล่อจะเคยตามจีบเธอ แต่เธอและนายคือคู่รักที่มาร่วมงานแต่งของเหลียงเล่อ แบบนี้ย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน"
เฉินลู่เหลือบมองเธอเพียงเล็กน้อยและหันกลับมาโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
เซี่ยจยาอี๋รู้สึกอึดอัดมากยิ่งขึ้น แต่การล่วงเกินเฉินลู่นั้นไม่ใช่เรื่องที่คนฉลาดควรทำ เธอพูดซ้ำอีกครั้งด้วยความอดทน
เฉินลู่กล่าวอย่างเฉยเมย "คนที่เธอควรขอโทษไม่ใช่ฉัน"
ใบหน้าของเซี่ยจยาอี๋แข็งทื่อ เธอพยักหน้า "รอสวีซุ่ยหนิงเข้ามา ฉันจะไปขอโทษเธอ"
เมื่อสวีซุ่ยหนิงเข้ามาในห้องวีไอพี แวบแรกเธอเห็นเซี่ยจยาอี๋ เธอไม่พูดอะไร เธอเดินตรงไปนั่งข้างกายเฉินลู่ เมื่อนั่งแล้วเธอเอื้อมมือไปหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดมือ เมื่อใช้กระดาษทิชชู่เสร็จก็โยนลงถังขยะ พลันได้ยินเสียงคนหน้าด้านอย่างเซี่ยจยาอี๋เอ่ยขอโทษเธอ
"เพื่อนร่วมชั้นสวี เมื่อวานนี้ฉันแสดงกิริยาไม่ดี ฉันต้องขอโทษเธอด้วย"
"อ้อ ไม่เป็นไร" สวีซุ่ยหนิงเอ่ย อย่างไรเธอก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าหล่อนจะเอ่ยขอโทษหรือไม่ พูดตามตรงหล่อนไม่ใช่คนสำคัญอะไร
โชคดีที่คนส่วนใหญ่ค่อนข้างคุ้นเคยกัน สวีซุ่ยหนิง เหลียงเล่อและอีกหลายคนที่อยู่ในสาขาเดียวกัน เข้าร่วมการแข่งขันหลายรายการด้วยกัน เมื่อพวกเขาพูดคุยกัน สวีซุ่ยหนิงเองก็รู้สึกกระตือรือร้น เมื่อร่วมทานอาหารเย็นต่างก็รู้สึกอบอุ่น
มีเพียงแค่เฉินลู่ที่พูดน้อย
เมื่อทุกคนชนแก้ว เขาก็ดื่มเหล้าแทนสวีซุ่ยหนิง
เพื่อนร่วมชั้นที่นั่งด้านข้างเอ่ยหยอกล้อ "เพื่อนร่วมชั้นเฉิน แม้แต่เหล้าก็ไม่ให้ดื่ม นายดูแลสวีซุ่ยหนิงเหมือนลูกสาวเลยเหรอ"
มุมปากของเฉินลู่กระตุกยิ้มอย่างสุภาพ เขาไม่ได้สนใจที่เอ่ยปากตอบคำถามนี้
เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น สำหรับเฉินลู่แล้วเขาไม่ค่อยมีความสนใจในตัวเด็กสาว
ผ่านไปไม่นานนัก เขาลุกขึ้น คิดอยากจะออกไปสูดอากาศด้านนอก
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เหลียงเล่อออกมารับสายโทรศัพท์ เขาเผอิญพบกับเฉินลู่ เขาชะงักและยื่นบุหรี่ให้แก่เฉินลู่ เฉินลู่เอ่ย "ไม่ค่อยสูบเท่าไรน่ะ"
ไม่กินดอกไม้ไฟของมนุษย์[1] หมายถึง การอุปมาอุปไมยของลัทธิเต๋าทางฝั่งประเทศจีน เกี่ยวกับการไม่พูดมาก สำรวมตนและเรียบง่าย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...