เดิมทีสวีซุ่ยหนิงให้จางอวี้ไปส่งเธอกลับ แต่จางอวี้กลัวว่าเธอไม่มีความสุข เช่นนั้นหล่อนจึงยืนกรานว่าจะไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อขนมให้เธอ โดยกล่าวว่ากินอะไรก็สามารถทำให้จิตใจดีขึ้นได้
ทั้งสองคนเดินเล่นไปทั่วจนกระทั่งพบเจอกับลั่วจือเห้อ
ด้วยระยะที่ห่างไกล เขาเพียงแค่พยักหน้าให้พวกเธอ ไม่ได้เดินเข้ามาทักทาย
สวีซุ่ยหนิงรู้ มีความเป็นไปได้สูงที่ลั่วจือเห้อไม่เข้ามาทักทายเป็นเพราะว่าเธออยู่ด้วย หลังจากเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่เสิ่นเจวียนกลับจากคอนโดของเธอ ลั่วจือเห้อก็รักษาระยะห่างกับเธอมากยิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดว่าจางอวี้เองก็พลันนึกถึงเรื่องของเสิ่นเจวียน เธอเอ่ย "ล่าสุด คุณลุงลั่วเอ่ยปากหยอกล้อถามยัยเสิ่นเจวียนว่าจะแต่งงานกับพี่เห้อไหม เป็นครั้งแรกที่ยัยนั่นไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ"
สวีซุ่ยหนิงชะงัก "ไม่ใช่ว่าหล่อนชอบเฉินลู่หรอกเหรอ?"
"เฉินลู่ก่อเรื่องไม่ไว้หน้ายัยนั่นตั้งมากมาย ไม่นานมานี้ไม่รู้ว่าไปพูดอะไรกับหล่อนไว้ ตั้งแต่นั้นมาเสิ่นเจวียนก็ไม่กล้าไปยั่วยุเฉินลู่อีกเลย" จางอวี้กล่าว "ส่วนพี่เห้อน่ะ ตั้งแต่ยังเด็กก็ประคบประหงมยัยนั่นเป็นน้องสาว แต่งกับพี่เห้อดูเหมือนว่าคงจะมีความสุขที่สุดแล้วล่ะ แต่ว่านะ ฉันคิดว่ายัยนั่นไม่เหมาะกับพี่เห้อเลยสักนิด"
สวีซุ่ยหนิงไม่มีอะไรจะเอ่ย
แท้จริงแล้วสวีซุ่ยหนิงรู้สึกว่าคนอย่างลั่วจือเห้อ เขานั้นเป็นมิตรกับใครต่อใคร แต่เขาเองก็ไร้ความรู้สึกและสามารถเหี้ยมโหดกับทุกคนได้เช่นกัน ราวกับว่าคนอย่างเขานั้นไร้ความรู้สึกของการชมชอบ อาจเป็นไปได้ว่าเขาไม่แม้แต่จะสนใจว่าตัวเองจะได้แต่งงานกับใคร เพียงแค่รู้สึกว่าเหมาะสมเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
และเขาก็ไม่ค่อยชอบให้เธอเข้าใกล้ สวีซุ่ยหนิงย่อมให้ความร่วมมือกับเขา
การพบเจอลั่วจือเห้อนั้นเป็นเพียงเหตุการณ์ระยะสั้น ในไม่ช้าจางอวี้ก็พาสวีซุ่ยหนิงกลับมาส่ง
เดิมทีสวีซุ่ยหนิงคิดว่าเฉินลู่จะต้องไปดูหนังอะไรสักเรื่องกับคุณหลิน แต่ทว่าเมื่อเธอกลับมายังบ้านของเขา เขาก็อยู่ภายในบ้านแล้ว และเขายังอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย
อาจเป็นไปได้ว่าการออกเดตกับหญิงสาวที่เป็นเวิร์กกิ้งวูแมน การดูหนังอาจไม่เป็นที่นิยม
"ทำไมไม่รับโทรศัพท์?" เฉินลู่เช็ดผมของเขาและเอ่ยถามเธอ
"อ่อ อาจจะเพราะว่าโทรศัพท์ตั้งโหมดปิดเสียงไว้ ฉันไม่ได้ดูโทรศัพท์เลย" สวีซุ่ยหนิงเอ่ย
เฉินลู่โยนผ้าขนหนูไปด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ เขาก้าวมาหาเธอ มือทั้งสองโอบรอบเอวของเธอไว้ จากนั้นเคลื่อนร่างกายของเธอไปด้านหน้า ใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวของเธอ มืออีกข้างหนึ่งบีบคางของเธอไว้ เขาโน้มตัวลงมาประทับจูบแก่เธอ
สวีซุ่ยหนิงเบี่ยงตัวหลบ ท้ายที่สุดจูบของเฉินลู่ก็ประทับลงบนคางของเธอ
เธอสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการกระทำของเธอนั้นทำให้บรรยากาศโดยรอบอากาศลดฮวบราวสองถึงสามองศา
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "ไม่ใช่ว่าวันนี้นายบอกว่าทำโอทีที่โรงพยาบาลหรอกเหรอ ทำไมฉันถึงไปเจอนายที่ร้านอาหารได้ล่ะ?"
เฉินลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ "ไม่ใช่ว่าเธอเองก็เดาเหตุผลออกแล้วหรอกเหรอ?"
สวีซุ่ยหนิงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยังพูดมันออกมาได้อย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนี้ ภายในใจของเธอทั้งรู้สึกอึดอัดและโกรธเคือง ลมหายใจหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น เธอคิดอยากจะยื่นมือไปผลักเขา แต่เฉินลู่กลับขยับเข้ามาแนบชิดเธอ เฉินลู่ก้าวเท้าเพียงสองสามก้าวพาเธอไปยังเตียงนอน จากนั้นเขาผลักเธอลงบนเตียง
"นายไปนัดบอด นายสามารถบอกกับฉันได้ แต่นี่ทำไมนายจะต้องโกหกฉันด้วย" สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "นายบอกว่านายอยากจะลองดู แต่ท้ายที่สุดแล้วทำไมนายถึงไม่ทำให้ฉันรู้สึกเลยว่าระหว่างนายและฉันนั้นมีสิทธิและมีความเท่าเทียมกัน"
เดิมทีเธอไม่ได้โกรธเลย แต่ยิ่งพูดอารมณ์ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น นัยน์ตาแดงก่ำ เธอรู้สึกอัดอั้นและโกรธเคืองที่โดนโกหก
เฉินลู่หยิบกระดาษทิชชู่มาแผ่นหนึ่งและซับน้ำตาให้เธอ ทว่าสวีซุ่ยหนิงกลับไม่เห็นสิ่งนี้อยู่ในสายตา เธอเบือนหน้าหนีและเอ่ย "นายกับหล่อนจะตกลงปลงใจกันเมื่อไรล่ะ แล้วนายจะบอกเลิกฉันเมื่อไร?"
เฉินลู่เหยียดมือทั้งสองข้างออกแล้วจับใบหน้าทั้งสองข้างของเธอไว้ ปลดกระดุมคอเสื้อของเธอพลางเอ่ย "ตอนนี้ฉันไม่ได้คิดจะเลิกกับเธอเลย"
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "ฉันไม่สามารถเล่นชู้กับนายได้หรอกนะ หากว่านายยังโสดฉันก็พอจะเล่นด้วยได้ แต่ฉันไม่มีทางที่จะไปทำลายครอบครัวของคนอื่น ต่อให้นายจะฆ่าฉันให้ตาย ฉันก็ไม่มีทางตอบรับนายอย่างเด็ดขาด"
เฉินลู่จ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเปิดลิ้นชักและหยิบกล่องใหม่ออกมา เขาเปิดกล่อง จากนั้นเอ่ยอย่างมีความหมาย "ได้เลย ฉันจะลองดูแล้วกันว่าฉันจะสามารถฆ่าเธอให้ตายได้หรือเปล่า"
วิธีการนี้ไม่ใช่แบบที่เธอคิดไว้ และเขายังคงยั่วยวนเธอ
แต่ทว่าสวีซุ่ยหนิงไม่ให้ความร่วมมือ ครั้งนี้เฉินลู่ไม่ค่อยสนุกสักเท่าไร เขาหยุดนิ่งและเอ่ย "เพียงเพราะว่าเห็นแก่หน้าผู้หลักผู้ใหญ่ ฉันเลยต้องไปทานข้าวกับเธอ ฉันไม่ได้คิดจะพัฒนาอะไรกับเธอด้วย ที่ฉันไม่บอกเธอเพราะกลัวว่าเธอจะพูดมั่วซั่วทำให้ฉันอารมณ์เสีย ไม่ใช่ว่าฉันจะจับปลาสองมือ"
สวีซุ่ยหนิงไม่เชื่อในความร้ายกาจของเขา เธอจะไม่ยอมถูกเขาเอารัดเอาเปรียบ เธอเอ่ย "คุณหลินบอกว่านายกับหล่อนกำลังนัดบอดกัน"
"ไม่ใช่ว่าพูดไปแล้วเหรอว่าเห็นแก่หน้าผู้หลักผู้ใหญ่?" เฉินลู่เอ่ย "ก่อนที่ฉันจะไปก็ไม่ได้คิดอะไรกับคุณหลินเลยด้วย และไม่เคยคิดจะสวมเขาให้กับเธอ เมื่อใดที่ฉันมีคนที่คู่ควรและเหมาะสม ฉันจะพูดกับเธอให้ชัดเจนอย่างแน่นอน"
เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าเรื่องมันจะบังเอิญขนาดนี้ บังเอิญไปพบกับสวีซุ่ยหนิงเข้าพอดี
เฉินลู่เองก็รู้ในขอบเขตของสวีซุ่ยหนิง เขาเองก็ไม่มีเรื่องจำเป็นที่จะต้องไปเหยียบย่ำล้ำเส้นเธอ ยามที่กำลังปลูกต้นรัก แน่นอนว่าย่อมต้องเรียนรู้และเข้าใจกันและกัน
เพียงแต่ว่าเมื่อถูกสวีซุ่ยหนิงก่อก่วน ความคิดที่สวยงามเหล่านั้นของเฉินลู่ก็พลันหายไปในพริบตา
เดิมทีห่างหายกันไปหลายวัน เขาเองก็ค่อนข้างมีความสนใจ
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "ต่อให้นายจะไม่อยากอยู่กับหล่อน แต่มันก็คือการนัดบอด นายก็ควรบอกฉันสิ เรื่องนี้ในฐานะแฟนสาวของนายฉันมีสิทธิที่จะรับรู้"
เฉินลู่ชำเลืองมองเธอและเอ่ย "ครั้งนี้ฉันไม่ได้จัดการปัญหานี้ให้ดี หากว่ามีครั้งหน้า ฉันจะพูดคุยกับเธอให้รู้เรื่องก่อน"
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "พ่อของนาย ท่านไม่ค่อยชอบในตัวฉันสินะ" ไม่อย่างนั้นในเมื่อลูกชายของตนมีแฟนสาวอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องให้เขาไปนัดบอดด้วยล่ะ
ในความจริงเธอรู้ดี ที่เฉินเจ๋อชูดีกับเธอ ความดีนั้นเป็นเพียงแค่เปลือกนอก เป็นเพราะว่าเซี่ยซีและคุณย่าเฉินเขาจึงต้องแสร้งทำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...