อ่านสรุป บทที่ 46 (2) จาก เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน โดย จิ่นอวิ๋น
บทที่ บทที่ 46 (2) คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายการโต้แย้ง เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย จิ่นอวิ๋น อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ครึ่งชั่วโมงถัดมา ทั้งสามก็มาถึงบ้านพักตากอากาศ
ก่อนมาที่นี่ก็ได้จองห้องพักไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเก็บกระเป๋าสัมภาระเสร็จ พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง คุณย่าเฉินเอ่ยปากบอกว่าอยากไปเดินป่าเดินเขา
แท้จริงแล้วสวีซุ่ยหนิงง่วงมาก แต่ในเวลานี้จำต้องเสียสละร่างกายไปเป็นเพื่อน"คุณย่า"
ร่างกายของคุณย่าเฉินนับว่ายังคงกระฉับกระเฉงและแข็งแรง ไม่ใช่เรื่องเกินจริง การเดินของเธอรวดเร็วราวกับกำลังเหาะเหินเดินอากาศ สวีซุ่ยหนิงเดินตามเธอไม่ทัน
เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง สวีซุ่ยหนิงก็รู้สึกทนไม่ไหว เธอไม่อยากทำลายความสนุกของหญิงชรา เธอเอ่ยกับคุณย่าเฉิน "คุณย่าคะ คุณย่ากับเฉินลู่นำไปก่อนเลยค่ะ หนูจะโทรศัพท์สักครู่"
เส้นทางเดินเขาของที่นี่นั้นชัดเจนมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง คุณย่าเฉินพยักหน้าและเอ่ย "งั้นถ้าเธอถึงแล้วโทรหาย่านะ เดี๋ยวเราจะไปทานอาหารกันบนยอดเขา ขนมดอกท้อของที่นี่ได้ยินมาว่าห้ามพลาดเชียวล่ะ เหล้าดอกท้อก็รสชาติใช้ได้ เดี๋ยวย่าจะพาเธอไปชิม"
"ได้เลยค่ะ ขอบคุณนะคะคุณย่า" สวีซุ่ยหนิงโบกมือให้เธอ
หลังจากเฝ้ามองเธอและเฉินลู่เดินจากไป เธอนั่งบนก้อนหินก้อนใหญ่เพียงลำพัง
การอดหลับอดนอนส่งผลต่อสมรรถภาพทางร่างกายจริงๆ
ตลอดเส้นทางสวีซุ่ยหนิงเดินและพักไปเรื่อยๆ เมื่อระยะทางเหลืออีกหนึ่งในห้าของเส้นทาง เฉินลู่ก็โทรเข้ามา
"ทางนี้สั่งอาหารกันเรียบร้อยแล้ว เธอยังไม่ถึงอีก?" เฉินลู่เอ่ยถาม
"ใกล้แล้ว" สวีซุ่ยหนิงสัมผัสได้อย่างชัดเจน คำพูดผ่านทางโทรศัพท์ของเขานั้นน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก
เมื่อเฉินลู่อยู่ต่อหน้าเธอ บางครั้งเขาดูไม่ค่อยจริงจัง แต่วันนี้ราวกับว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น จำต้องแสร้งทำ
สวีซุ่ยหนิงครุ่นคิด หรือว่าเขาคิดอยากจะเลิกรา
แต่ทว่าเธอยังไม่ทันเอ่ยปากถาม เฉินลู่ได้มอบโทรศัพท์ให้คุณย่าเฉิน เธอเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม "หนิงหนิง อีกไกลไหมกว่าเธอจะถึง? หากว่าถึงแล้วย่าจะไปรอรับเธอที่ประตูนะ"
สวีซุ่ยหนิงกลัวว่าเธอจะถ่วงเวลา ทำให้หญิงชราต้องทนหิว หลังจากนั้นไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนเธอก็ไม่กล้านั่งพักอีกเลย เธอรีบก้าวเท้าขึ้นไปยังยอดเขา
บนยอดเขามีร้านอาหารแปลกตามากมายหลายแห่ง สวีซุ่ยหนิงมองไปรอบๆ เธอเห็นว่าคุณย่าเฉินอยู่บนชั้นสองของอาคารโบราณที่ใหญ่ที่สุด กำลังโบกไม้โบกมือให้เธอผ่านทางหน้าต่าง
สวีซุ่ยหนิงรีบขึ้นไปยังชั้นบน
คุณย่าเฉินรินเครื่องดื่มให้เธอแล้วเอ่ย "นี่คือน้ำอัดลมรสดอกท้อ เธอลองดื่มดูสิ"
สวีซุ่ยหนิงอยู่บนชั้นสองและเธอมองลงมา สถานที่แห่งนี้คุ้นตายิ่งนัก ราวกับว่ามีละครหลายเรื่องที่ถ่ายทำที่นี่
เธอเอ่ยด้วยความรู้สึกจากหัวใจ "คนที่พัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวนั้นฉลาดมาก มีคำกล่าวไว้ ในเดือนเมษายนดอกไม้ทั้งหมดได้เหี่ยวแห้งไป ดอกท้อบนภูเขาต่างก็ผลิบานสะพรั่ง เป็นความจริงดอกท้อบริเวณตีนเขานั้นร่วงโรย แต่บริเวณโดยรอบนี้ดอกไม้กลับเบ่งบานอย่างงดงาม ผู้คนต่างก็ชอบความสดชื่นและอยากพบเห็นของหายาก เมื่อดอกท้อผลิบานภายในเมือง น้อยนักที่ผู้คนให้ความสนใจ แต่บนยอดเขานี้ผู้คนล้วนให้ความสนใจ"
"สถานที่แห่งนี้พ่อของอาลู่เป็นคนสร้างขึ้น" คุณย่าเฉินเอ่ย "ใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของอุณหภูมิในระดับความสูงที่แตกต่างกัน แน่นอน ปัจจัยบางอย่างจากฝีมือมนุษย์ก็นำมาใช้ด้วยเช่นกัน"
สวีซุ่ยหนิงคาดไม่ถึงเลย บ้านพักตากอากาศแห่งนี้เป็นทรัพย์สินและธุรกิจอุตสาหกรรมของตระกูลเฉิน
ธุรกิจของตระกูลเฉินนั้นหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นวงการบันเทิง อุปกรณ์ทางการแพทย์ อสังหาริมทรัพย์ หรือการท่องเที่ยว ตระกูลเฉินล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "ประธานเฉินนั้นเยี่ยมยอดมากจริงๆ"
"ต่อให้เยี่ยมยอดมากเพียงใดก็ไม่อาจรักษาภรรยาเอาไว้ได้" คุณย่าเฉินเอ่ย ฉับพลันก็นึกได้ว่าข้างกายเธอมีเฉินลู่ เธอรู้สึกตัวได้ในทันที รีบเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา "เดินเขามาเกือบจะทั้งวัน เรายังได้ทานอาหารดีๆอีกด้วย"
เฉินลู่ที่อยู่ข้างกายแกะปูขนให้กับเธอ
คุณย่าเฉินเอ่ย "แกไม่ต้องแกะให้ฉันตลอดก็ได้ แฟนสาวของแก แกไม่สนใจหรือยังไง?"
สวีซุ่ยหนิงพูดอย่างอดไม่ได้ "คุณย่าคะ ไม่เป็นไรค่ะ หนูแกะเองได้ค่ะ"
"แบบนั้นได้อย่างไรล่ะ? มีแฟน เรื่องแบบนี้ก็ต้องให้แฟนทำสิ" คุณย่าเฉินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
เฉินลู่ไม่มองสวีซุ่ยหนิงเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงเอ่ย "เดี๋ยวฉันแกะเอง"
อาหารมื้อนี้ เฉินลู่ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ แทบไม่มีการสื่อสารกับเธอเลย
สวีซุ่ยหนิงรู้สึกหงุดหงิด เธอหวังว่าหากเฉินลู่มีเรื่องอะไรก็พูดมาได้เลย การปฏิเสธที่จะพูดคุยกันแบบนี้มันไม่ดีเลย
แต่ท่าทีของเฉินลู่ดูเหินห่างออกไป เป็นเรื่องยากที่เธอจะเอ่ยปาก ยิ่งไปกว่านั้น ข้างกายก็ยังมีคุณย่าเฉิน คำพูดบางคำก็ไม่เหมาะที่จะพูดต่อหน้าผู้อาวุโส
หลังอาหาร คุณย่าเฉินลากสวีซุ่ยหนิงไปถ่ายรูปให้เธอ
ในช่วงมหาวิทยาลัย สวีซุ่ยหนิงได้เรียนถ่ายภาพมา ฝีมือการถ่ายภาพของเธอนั้นนับว่าใช้ได้ เธอถ่ายภาพให้กับคุณย่าเฉิน นำรูปภาพทั้งหมดให้เธอดูและเอ่ย "หากว่าคุณย่าชอบ เดี๋ยวหนูจะไปล้างฟิล์มแล้วทำอัลบั้มรูปมาให้คุณ"
"ถ้าอย่างนั้นเธอต้องลำบากแทนย่าแล้วล่ะ" คุณย่าเฉินมองดูเธออย่างอ่อนโยนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นโบกไม้โบกมือให้กับเฉินลู่และกล่าว "แกมานี่สิ ฉันจะถ่ายรูปให้แกกับหนิงหนิงสักรูปหนึ่ง"
เฉินลู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เขาและสวีซุ่ยหนิงยืนอยู่ใต้ต้นดอกท้อต้นเดียวกัน แขนของเขาโอบรอบเอวของเธอ ทั้งสองคนต่างก็มองไปที่กล้องถ่ายภาพ
คุณย่าเฉินเอ่ยอย่างไม่พอใจ "อาลู่ ท่าทีการแสดงออกของแกน้อยไปนะ"
เฉินลู่เอ่ย "คุณย่าก็รู้ ผมไม่ค่อยถ่ายรูป ถ่ายภาพที่ระลึกรูปเดียวก็พอแล้วครับ"
สวีซุ่ยหนิงเองก็ไม่อยากถ่าย เธอยิ้มและเอ่ย "คุณย่าคะ พวกเราลงเขาไปพักผ่อนกันเถอะค่ะ ถ่ายรูปจะถ่ายเมื่อไรก็ถ่ายได้ค่ะ"
ความจริงแล้วคุณย่าเฉินเองก็เหนื่อยแล้ว เธอไม่ยืนกรานถ่ายรูปให้พวกเขาอีก เธอเอ่ย "พวกเธอหน้าตาดีอยู่แล้ว จะถ่ายยังไงก็ดูดี ภาพเมื่อกี้ก็ใช้ได้แล้วล่ะ เป็นฉันเองที่อยากถ่ายภาพพวกเธอเยอะๆ อายุมากแล้วก็อยากถ่ายเก็บไว้เป็นภาพที่ระลึก"
สวีซุ่ยหนิงโน้มตัวเข้ามาดู จริงๆก็ใช้ได้นะ แต่ท่าทีการแสดงออกของเธอและเฉินลู่ดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เขาเย็นชามาก ส่วนเธอก็ยิ้มแบบฝืนๆ
สวีซุ่ยหนิงไม่รู้ว่าคนข้างนอกมีอาวุธมีคมหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขาจะงัดประตูไปเพื่ออะไร เพื่อเงินหรือว่าตั้งใจจะเข้ามาทำอนาจาร เธอไม่มีความกล้าที่จะออกไปเผชิญหน้ากับคนคนนั้น เธอส่งข้อความหาเฉินลู่
กลัวว่าถ้าหากเขาหลับอยู่ก็คงไม่เห็นข้อความ จากนั้นเธอโทรหาแผนกต้อนรับลูกค้า ไม่รู้ว่าพนักงานต้อนรับกำลังทำอะไรกันอยู่ ไม่มีใครรับสายเธอเลย
สวีซุ่ยหนิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโทรหาเฉินลู่ หวังว่าเขาคงจะไม่ได้ตั้งโหมดปิดเสียงไว้
ในไม่ช้าเฉินลู่ก็รับสายโทรศัพท์ น้ำเสียงที่ถูกปลุกดูหงุดหงิดเล็กน้อย "มีอะไร?"
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "มีใครบางคนอยู่นอกห้องของฉัน"
เฉินลู่หยุดชะงักและกล่าว "รอฉัน"
หนึ่งนาทีถัดมา สวีซุ่ยหนิงได้ยินเสียงสิ่งของหนักๆกระแทกลงบนพื้นจากด้านนอกประตู ช่างน่าหดหู่นัก
เสียงผู้ชายร้องขอความเมตตาดังขึ้น "อย่าต่อย อย่าต่อยเลยครับ"
สวีซุ่ยหนิงสวมเสื้อคลุมและรีบออกไป เธอเห็นชายแปลกหน้านอนอยู่บนพื้นและมีเลือดกำเดาไหล เหมือนว่าเฉินลู่อยากจะเข้ามาต่อยเขาอีก เธอรีบเข้าไปห้ามและเอ่ย "เฉินลู่ ฉันจะแจ้งตำรวจ ให้ตำรวจมาจัดการเขา"
เนื่องจากเป็นเขตท่องเที่ยว ในไม่ช้าตำรวจก็มาถึง มาพร้อมกับพนักงานต้อนรับ ในขณะทำการจดบันทึก เขาเอ่ยกับคนคนนั้นว่า "เพิ่งถูกปล่อยตัวออกมาไม่นาน มางัดห้องผู้หญิงอีกแล้วงั้นเหรอ?"
ดวงตาของสวีซุ่ยหนิงส่องประกายและเอ่ย "ก่อนหน้านี้เขาเคยถูกคุมขังมาแล้วงั้นเหรอ?"
“พยายามจะข่มขืน เขาเป็นชายโรคจิต คนที่นี่ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับภาพเหตุการณ์นี้ คาดว่าเขาอาจจะเห็นคุณและเพ่งเล็งคุณไว้ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ พวกคุณไปพักผ่อนเถอะ” พวกเขานำตัวชายคนนั้นไป
สีหน้าของเฉินลู่เปลี่ยนไปทันใด
ใบหน้าของสวีซุ่ยหนิงซีดเผือด เธอเอ่ยด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ "ไม่มีอะไรแล้ว นายกลับไปพักผ่อนเถอะ"
เฉินลู่เหลือบมองเธอ เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้องของเธอ เมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเดินมาหาเธอและอุ้มเธอเข้าไปภายในห้อง เขาวางเธอลงบนเตียงนอน จากนั้นเดินกลับมาล็อคห้อง
เมื่อเขากลับมา เขาถอดรองเท้าและล้มตัวลงนอนบนเตียงกับเธอ
สวีซุ่ยหนิงตัวสั่นและเอ่ย "เรื่องนี้ นายไม่ต้องบอกคุณย่านะ เดี๋ยวคุณย่าจะเป็นกังวล"
เฉินลู่กอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา เขาลูบหลังปลอบโยนเธอด้วยความอ่อนโยนพลางเอ่ย "นอนเถอะ ฉันจะนอนกับเธอ"
สวีซุ่ยหนิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "ฉันนอนไม่หลับ นายอยากเลิกแล้ว งั้นเรามาคุยกันเถอะ ที่จริงแล้วนายอยากจะเลิกกับฉันแล้วใช่หรือเปล่า"
เฉินลู่หยุดชะงักและกล่าว "ฉันไม่ได้จะคุยเรื่องนี้กับเธอ"
"แต่นายไม่ยอมนอนห้องเดียวกันกับฉัน มันไม่ได้หมายความแบบนี้เหรอ?" สวีซุ่ยหนิงจ้องมองเขา น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาแต่กลับพูดอย่างตรงไปตรงมา "ฉันเป็นคนที่มีลางสังหรณ์แม่น สัมผัสความผิดปกติได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ฉันไม่พูดออกมาก็เท่านั้น หากว่าอยากเลิกงั้นก็เลิกกันเถอะ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...