บทที่48 (2) – ตอนที่ต้องอ่านของ เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
ตอนนี้ของ เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน โดย จิ่นอวิ๋น ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายการโต้แย้งทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่48 (2) จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ช่วงเช้าสวีซุ่ยหนิงได้ยินคุณย่าเฉินบอกว่า เคสผ่าตัดของกลางดึกเมื่อคืนนั้นสำคัญมาก แต่เฉินลู่ก็ทำมันสำเร็จได้ด้วยดี
เธอดีใจแทนเฉินลู่ อย่างไรเสีย นี่ก็จะเป็นส่วนช่วยอาชีพของเขาในอนาคต
"ช่วงนี้อาลู่ค่อนข้างเหนื่อย อีกวันสองวันพวกเธอทั้งสองคนก็มากินข้าวที่นี่สิ" คุณย่าเฉินเอ่ย "เวลาที่เขายุ่ง เขาก็ยุ่งจริงๆ หวังว่าเธอจะเข้าใจเขาหน่อย กลัวว่าพอเขายุ่งแบบนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเธอทั้งสองคนจะจืดจางไป"
สวีซุ่ยหนิงยิ้มแล้วเอ่ย: "อีกสองวันหนูจะมาเยี่ยมนะคะ"
"อย่าลืมพาอาลู่มาด้วยนะ ฉันอยากเห็นพวกเธอมาด้วยกัน" คุณย่าเฉินบอกด้วยรอยยิ้ม "พวกวัยรุ่นใช้คำว่าอะไรนะ แฟนซัพพอร์ตใช่ไหม"
"คุณย่ามีความรู้เยอะมากเลยค่ะ" สวีซุ่ยหนิงชม
เธอนึกว่าพอเฉินลู่ทำการผ่าตัดให้คนไข้เสร็จแล้วตอนเย็นเขาจะกลับมาบ้าน แต่กลายเป็นว่า คืนนั้น เธอก็ยังไม่เจอเขาเหมือนเดิม
สวีซุ่ยหนิงโกรธมาก แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ชวนเขาทะเลาะเหมือนตัวเองเป็นแฟนสาวตัวจริงที่เขาประกาศให้ทุกคนได้รู้ ความจริงเธออยากจะหาเรื่องทะเลาะกับเขาอยู่เหมือนกัน ยังไงก็ยังดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ที่ไม่พูดไม่บอกอะไร เพียงแค่ทำตัวเฉยชา
ในโซเชียลเธอเป็นเพื่อนกับหมอหลายคน เห็นพวกเขาช่วยกันโพสต์ข่าวที่เฉินลู่ให้สัมภาษณ์
ในวิดีโอ เขาดูมีการศึกษา มีมารยาทแต่กลับเย็นชา แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกว่าเขาเสียมารยาทแต่อย่างใด เขาตอบคำถามเชิงลึกของนักข่าวอย่างจริงจัง
อยู่ๆ สวีซุ่ยหนิงก็รู้สึกว่าเขาเหมือนคนแปลกหน้า
ความจริงเขาก็ควรจะเป็นคนแปลกหน้าตั้งแต่แรก เธอแทบจะไม่รู้เรื่องของเขาเลย อย่างเช่นงานอดิเรกของเขาคืออะไร เรียนจบปริญญาโทเรียนจบปริญญาเอกที่ไหนในต่างประเทศ เรื่องพวกนี้เธอไม่รู้เลย
ในตอนที่สวีซุ่ยหนิงเลื่อนลงไปถึงโพสต์ที่เพื่อนของเฉินลู่โพสต์ถึงเขาเป็นโพสต์ที่สิบ ก็เป็นวิดีโอที่หมอสักคนโพสต์ว่าพวกเขากำลังไปร้องคาราโอเกะกัน ในคลิปมีหน้าของเฉินลู่แวบๆ เธอทนไม่ไหวจริงๆ ก็เลยโทรไปหาเขา
คราวแรกเธอกลัวว่าเขาจะไม่รับสาย แต่โชคดีที่เขายังมีจิตใจเมตตาอยู่บ้าง จึงรับสายเธอ
สวีซุ่ยหนิงไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่ เธอเงียบไปชั่วขณะ เธอได้ยินเสียงคนจากทางฝั่งเฉินลู่ถามเขาว่าร้องเพลงไหม
"ไม่เอา" เฉินลู่ตอบสั้นๆ
ดูเหมือนเขาเองก็ไม่ได้คิดจะวางสาย สวีซุ่ยหนิงบีบโทรศัพท์ในมือแล้วพูดขึ้นเสียงเบา: "นายต้องบอกอะไรกับฉันสักอย่างสิ? นายเองก็รู้ ว่าฉันไม่กล้าจะตัดสินใจเองคนเดียวพอมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับนาย"
เธอไม่แน่ใจว่าเฉินลู่ได้ยินหรือเปล่า เขาเองก็เอาแต่เงียบ
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย: "เฉินลู่ นายอย่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่ฉันได้ไหม หัวใจของฉันมันพลอยเจ็บไปด้วย นายทำตัวเหมือน ตัวเองยังตัดสินใจไม่ได้ ก็เลยปล่อยให้ฉันเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ จริงๆ แล้ว จะเลิกหรือไม่เลิก ฉันจะไปหรือไม่ไป มันขึ้นอยู่กับคำคำเดียวที่นายต้องพูดออกมา นายไม่จำเป็นต้องแขวนมีดไว้บนหัวฉันแบบนี้ก็ได้"
เสียงของเธอสั่น: "โหดร้ายมาก แบบนั้นมันโหดร้ายมากเลย เฉินลู่"
สวีซุ่ยหนิงไม่ได้ร้องไห้ แต่เสียงของเธอสั่นเครือ
ฝั่งเฉินลู่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมา สุดท้ายเขาแค่ถอนหายใจออกมาหนักๆ
สวีซุ่ยหนิงไม่รู้ว่าที่เขาถอนหายใจออกมานั้นมันหมายความว่าอย่างไร แล้วก็ไม่มีโอกาสได้ถาม เพราะว่าเขาตัดสายไปแล้ว หลังจากนั้นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งของเฉินลู่ก็ส่งข้อความมาบอก: โทรศัพท์ของเฉินลู่แบตหมด
แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าตกลงแล้วมันคือเรื่องจริงหรือแค่ข้ออ้าง
เธอนอนไม่หลับทั้งคืน
เช้าถัดไป เธอไปเยี่ยมคุณย่าเฉิน คุณย่าเฉินตุ๋นซุปนกพิราบเอาไว้ให้ และขอให้เธอช่วยเอาไปให้เฉินลู่
สวีซุ่ยหนิงบอกออกไปอย่างไม่แน่ใจ: "เขาอาจจะไม่อยากให้หนูเอาไปให้"
คุณย่าเฉินเอ่ยอย่างงุนงง: "เมื่อเช้าลองถามอาลู่แล้ว เขาบอกเองว่าเขาไม่มีเวลามาเอา แถมยังบอกให้เธอเอาซุปไปให้เขาแทน"
สวีซุ่ยหนิงนิ่งไปเล็กน้อย คิดว่าเฉินลู่คงอยากคุยกับเธอ
เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าตกลงแล้วเฉินลู่คิดยังไง จะมีผลลัพธ์แบบไหนก็ช่างมัน แต่ว่าการที่ต้องอยู่แบบนี้ต่อไปมันทรมานมากจริงๆ
สวีซุ่ยหนิงขับรถไปโรงพยาบาล หัวใจของเธอหนักอึ้ง ครู่เดียวเธอก็มาถึงห้องทำงานของเฉินลู่ในโรงพยาบาล แต่ว่าเขาไม่อยู่ สวีซุ่ยหนิงวางซุปเอาไว้ ตอนที่สวีซุ่ยหนิงเดินไปยังหน้าห้องผ่าตัด ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกำลังร้องไห้
มีแพทย์หลายคนกำลังยืนล้อมอยู่ด้วย
ในตอนที่สวีซุ่ยหนิงเดินเข้าไปใกล้ ก็พบว่ามีแพทย์สาวคนหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมอกของเฉินลู่ เธอกอดคอของเฉินลู่เอาไว้แน่นแล้วก็ร้องไห้ ส่วนเฉินลู่ก็ลูบหลังเธออย่างใจเย็นเพื่อปลอบ
เธอชะงักไป จากนั้นก็ตะโกนออกมา: "เฉินลู่"
เมื่อทุกคนได้ยินเสียงเธอก็หันมา มีแค่เฉินลู่ที่ไม่ได้หันมา เขายังคงปลอบคนในอ้อมกอด: "จะรอดหรือจากไปก็แล้วแต่ชะตา เธอทำดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่ความผิดของเธอ"
เธอมองคนที่กำลังกอดกันอยู่ด้วยแววตาอ่านยาก
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย: "เฉินลู่ มีหมอเยอะขนาดนี้ นายเองก็ไม่ได้โสดแล้ว มากอดคนอื่นแบบนี้ไม่เหมาะเท่าไหร่มั้ง? แล้วก็ซุปนกพิราบ ไม่อย่างนั้น......"
เธออยากพูดว่า ไม่อย่างนั้นฉันเอาซุปนกพิราบนี่ไปวางให้นายก่อน ฉันไม่รบกวนแล้ว ขอตัวกลับก่อน
เดิมทีเฉินลู่ก็มีเรื่องให้ต้องคิดมากอยู่แล้ว เขาเลยพูดสวนเธออย่างหมดความอดทน: "เธอคิดว่าตอนนี้ใครเขาจะมีอารมณ์มานั่งกินซุปบ้าง?"
น้ำเสียงของเขาไม่มีความเกรงใจ มีทั้งความรำคาญ มีทั้งการกล่าวโทษ
ทุกคนหันมามองเธอ
คนในโรงพยาบาลเยอะมากๆ ทั้งหมอ พยาบาล ไหนจะคนที่ผ่านไปผ่านมา
เซี่ยซี มองเธอร้องไห้ เห็นน้ำตาเม็ดโตไหลออกมาเรื่อยๆ ไม่หยุด ราวกับตัวเองในอดีต
เซี่ยซีจึงย่อตัวลงมาเช็ดน้ำตาให้สวีซุ่ยหนิงแล้วเอ่ย: "เธอบอกฉันมา เกิดอะไรขึ้น"
......
เฉินลู่กลับบ้านมา แต่ไม่เห็นสวีซุ่ยหนิง
เขาขมวดคิ้ว แล้วโทรหาเธอ
สวีซุ่ยหนิงรับสายเขาอย่างรวดเร็ว เสียงของเธอแหบแห้ง แต่กลับชัดเจนกว่าที่คิดไว้ "หมอเฉิน"
เฉินลู่ถาม: "เธออยู่ไหน?"
"ฉันอยู่ที่สวนสาธารณะข้างๆ คอนโด"
เฉินลู่รีบเดินออกไปด้านนอก พอเดินเข้าไปในสวนสาธารณะ ก็เห็นสวีซุ่ยหนิงกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว ฤดูหนาวมีลมพัดจนหนาวเข้ากระดูก ปลายจมูกของเธอโดนลมจนมันเห่อแดงไปหมด
สวีซุ่ยหนิงเป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารัก ตอนนี้พอได้เห็นภาพแบบนั้นจึงดูน่าสงสารมาก
เฉินลู่เดินไปนั่งลงข้างเธอ แล้วจับมือข้างหนึ่งของเธอมาซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ตของเขา: "ค่ำขนาดนี้ทำไมถึงยังนั่งอยู่ตรงนี้?"
"ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปหาจางอวี้ แต่เธอไม่อยู่" สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "หมอเฉิน ฉันเคยบอกนายหรือเปล่า ว่าที่จริงฉันนั้นแอบกลัวนาย เพราะฉะนั้นฉันเลยรอให้นายเป็นคนบอกเลิก ฉันคิดว่าถ้านายเป็นคนบอกเลิก นายคงไม่โทษฉัน ไม่อย่างนั้น นายอาจจะทำอะไรบางอย่างก็ได้"
เฉินลู่ไม่เอ่ยอะไร
"แต่ว่า ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้ ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ นายมักจะไม่สนใจฉัน นายไม่บอกเลิก แต่นายก็ไม่ได้ทำเหมือนอยากมีฉันอยู่ ฉันเลยต้องคิดไปเองอยู่ทุกวัน"
แน่นอนว่าเฉินลู่มีเหตุผลที่ตั้งใจจะไม่สนใจสวีซุ่ยหนิง แต่เขาก็ไม่อยากพูดให้ตัวเองดูเลือดเย็นเกินไป: "ส่วนมากเป็นเพราะว่างาน ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่สนใจเธอ"
"เฉินลู่ ฉันอยากเลิก" อยู่ๆ เธอก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงเบา "พวกเราเลิกกันเถอะ"
เขานิ่ง แล้วเงยหน้ามองเธอ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้มานั่งตากลมเย็นๆ อยู่ที่นี่ในตอนค่ำแบบนี้ เขามีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย "กลับบ้านก่อน"
"ฉันไม่กลับไปแล้วล่ะ" สวีซุ่ยหนิงพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ: "ฉันรู้ว่ามันไม่ได้เป็นเพราะงาน นายก็แค่ไม่อยากจะคบกับฉันต่อแล้ว แต่นายก็ไม่ยอมพูด นายเอาแต่ทิ้งฉันไว้อย่างเย็นชา ฉันรู้สึกแย่มากๆ จริงๆ"
เฉินลู่จ้องมองเธอ: "ฉันขอแนะนำว่าเธอไม่ควรตัดสินใจในช่วงค่ำแบบนี้"
สวีซุ่ยหนิงฝืนยิ้ม แต่ดวงตาเธอแดงก่ำ เอ่ยขึ้น: "หมอเฉิน ฉันตัดสินใจดีแล้ว ฉันอยากจะเลิก ก่อนหน้านี้ฉันไม่กล้าบอกเลิกนาย แต่วันนี้ฉันรู้สึกแย่มากจริงๆ รู้สึกแย่มากจนฉันกล้าที่จะพูดมัน ที่จริงฉันทนมานานแล้ว ฉันเป็นคนพูดเยอะ และกลัวการโดนเงียบใส่มากที่สุดเลยล่ะ แต่ว่านายมักจะทำสงครามประสาทใส่ใจ ไม่สนใจฉัน ฉันคิดว่าต้องเลิกกันฉันถึงจะหลุดพ้น"
เฉินลู่มองเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...