สรุปตอน บทที่ 49 (1) – จากเรื่อง เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน โดย จิ่นอวิ๋น
ตอน บทที่ 49 (1) ของนิยายการโต้แย้งเรื่องดัง เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน โดยนักเขียน จิ่นอวิ๋น เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อใบหน้าของเฉินลู่มืดมนลง ทำให้ผู้คนรู้สึกยากที่จะเข้าใกล้เขา ในเวลานี้เขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา เธอรู้สึกตื่นตระหนก
"เธอคิดดีแล้ว? หากว่าเป็นเพราะอารมณ์โกรธ เธอจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง" น้ำเสียงของเขาราวกับว่าไร้ความรู้สึก
สวีซุ่ยหนิงส่ายหน้า เธอยืนกรานและเอ่ย "เรื่องนี้ฉันคิดมานานมากแล้ว ไม่ได้มีอารมณ์โกรธอะไรทั้งนั้น ฉันต้องการผลลัพธ์แบบนี้"
เฉินลู่จ้องมองเธอ เขาเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร
"งั้นฉันจะถือว่านายตกลงเลิกกับฉันแล้ว" สวีซุ่ยหนิงเห็นว่าเขาไม่พูด เธอจึงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
เขานิ่งเงียบไปเนิ่นนานจากนั้นเอ่ยอย่างเย็นชา "แล้วแต่เธอ"
เรื่องของสวีซุ่ยหนิง ตั้งแต่เริ่มต้น เฉินลู่ก็คิดไว้ว่าเจอกันด้วยดีและจากกันด้วยดี ดังนั้นเมื่อเธอเอ่ยออกมา สำหรับแผนการของเฉินลู่แล้วนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
จากมุมมองอื่น สิ่งนี้ก็ทำให้เขาโล่งใจเช่นกัน อย่างไรเสียต่อหน้าของเฉินเจ๋อชูเขาเองก็จะได้ไม่มีปัญหาคาราคาซัง วันหนึ่งเขาจะต้องแต่งงานกับภรรยาและมีลูกด้วยกัน แล้ววันหนึ่งเขาก็ต้องเอ่ยกับสวีซุ่ยหนิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย : พวกเราต้องจบกันแล้ว
แต่ทว่าผู้ชายนั้นล้วนแต่มีนิสัยเสียที่ฝังรากลึก เมื่อเอ่ยคำว่าเลิกราสามารถแสดงท่าทีนิ่งเฉยได้ แต่เมื่อเลิกกันแล้วภายในจิตใจไม่สามารถสงบได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นเธอเป็นคนเอ่ยปากถึงเรื่องนี้ เหนือความคาดหมายของเขามาก
เฉินลู่คาดไม่ถึงเลยว่าสวีซุ่ยหนิงจะใจกล้าถึงเพียงนี้
"ขอบคุณ" สวีซุ่ยหนิงกล่าวอย่างจริงใจ
แท้จริงแล้วเธอกลัวมากว่าเขาจะต้องพูดจาเหยียดหยามดูถูกเธอ หรือไม่ก็ขณะที่แสดงท่าทีเย็นชาใส่เธอ เขาก็ไม่ยอมปล่อยเธอไป
เฉินลู่เพิกเฉยต่อเธอ แม้แต่จะมองเธอเขาก็ไม่มอง เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและตรงเข้าไปภายในบ้าน
สวีซุ่ยหนิงเดินไล่หลังเขา เห็นว่าเขาหันกลับมาและมองดูเธออย่างเฉยเมย เธอรีบเอ่ย "ฉันต้องเข้าไปน่ะ ฉันต้องเข้าไปเก็บของ"
เฉินลู่ละสายตากลับและตอบรับ'อืม'ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
สวีซุ่ยหนิงเก็บของด้วยความรวดเร็ว ที่บ้านของเฉินลู่เธอไม่ได้มีของมากมายนัก มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุดและครีมบำรุงผิวเพียงไม่กี่ชิ้น
สำหรับสิ่งของชิ้นอื่น เฉินลู่เป็นคนซื้อ เธอรู้สึกว่าหากนำไปด้วยคงไม่เหมาะสม เมื่อรวมมูลค่าแล้วมันค่อนข้างสูง เมื่อรวมกันแล้วสามารถวางเงินมัดจำได้เลย
สวีซุ่ยหนิงพลันนึกบางสิ่งได้ รีบหยิบกล่องเครื่องประดับที่คุณย่าเฉินมอบให้จากในลิ้นชัก เธอหันหลังกลับและวิ่งลงไปชั้นล่าง
ในขณะที่สวีซุ่ยหนิงจัดกระเป๋าเฉินลู่ก็ไม่ได้เข้าไปวุ่นวายกับเธอ เขาไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับเธอ หลังจากที่เขาเห็นเธอลงมาชั้นล่าง สายตาชำเลืองมองกระเป๋าที่เธอถือไว้ในมือ น่าจะเป็นของทั้งหมดของเธอ
สวีซุ่ยหนิงวางกระเป๋าไว้ข้างกายแล้วส่งกล่องเครื่องประดับให้กับเฉินลู่ เธอเอ่ย "เครื่องประดับชุดนี้รบกวนนายช่วยคืนคุณย่าแทนฉันด้วย"
"วางไว้ตรงนั้น" สายตาของเขาชำเลืองมองกระเป๋าของเธอ เขาก้มศีรษะมองเธอ "กุญแจบ้านทิ้งไว้แล้วหรือยัง?"
"ฉันวางไว้ให้นายแล้ว อยู่ด้านบน"
เฉินลู่เอ่ย "ขอฉันดูกระเป๋าเธอหน่อย"
"ภายในนี้เป็นของของฉันทั้งหมด ของของนายฉันไม่ได้เอาไปเลย"
"เธอวางไว้ชั้นบนแล้วนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ใครจะรู้เธออาจจะมีอีกอันก็เป็นได้? ของภายในบ้านฉันราคาเป็นหมื่นทั้งนั้น หากของหายขึ้นมาทำไง?" เขาเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสัมภาระของเธอ แต่สวีซุ่ยหนิงเข้ามาขวางไว้
เธอกล่าว "ในกระเป๋ามีเพียงเสื้อผ้าส่วนตัวของฉัน นายสามารถไปดูกล้องวงจรปิดตอนที่ฉันเก็บของได้ แค่นี้นายก็จะรู้ว่าฉันเอาของของนายไปหรือเปล่า"
เฉินลู่ปัดเธอออก เขายังคงยกกระเป๋าสัมภาระของเธอขึ้น เขาเปิดซิปและมองดูอย่างละเอียด
สวีซุ่ยหนิงมองดูเขาที่กำลังยื่นมือออกมารื้อเสื้อผ้าส่วนตัวของเธอตามอารมณ์ เธออดกลั้นและข่มใจ เว้นเสียแต่ดวงตาที่แดงก่ำ เธอพยายามสงบสติอารมณ์และเอ่ย "ช่างเถอะ กระเป๋าใบนั้นฉันไม่ต้องการแล้ว ฉันขอตัวก่อน"
"ของเหล่านี้เธอไม่เอาไป คิดว่าที่ของฉันเป็นโรงขยะงั้นเหรอ? ถ้าไม่ว่าอะไรรบกวนเธอนำของพวกนี้ออกไปทิ้งถังขยะด้วย" เมื่อเฉินลู่รื้อค้นของเสร็จ เขาโยนกระเป๋าของเธอลงบนโต๊ะตามอำเภอใจ ขวดแก้วของครีมบำรุงผิวกระทบผิวโต๊ะทำให้เกิดเสียง'แกร๊ก' เมื่อได้ยินเธอรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
สวีซุ่ยหนิงเอ่ย "เรื่องพ่อของฉัน หวังว่านายจะยังคงให้การสนับสนุน" เซี่ยซียินดีช่วยเหลือเธอ แต่เธอยังหวังว่าเฉินลู่จะไม่วางกลอุบายใด
เฉินลู่เอ่ยด้วยความไม่อดทน "ในเมื่อฉันตอบรับเธอแล้ว ฉันไม่มีทางผิดคำพูด เรื่องของพ่อเธอฉันก็ยังจะช่วยต่อไป แทนคำขอบคุณที่เธอเข้ามาขวางมีดให้ฉัน ไม่ใช่ว่าต้องการไปหรอกเหรอ? ยังจะมายืนพูดไร้สาระอยู่ได้?"
ยามค่ำคืนอากาศหนาวเหน็บ สวีซุ่ยหนิงรูดซิปเสื้อคลุมของเธอ จากนั้นก้มหน้าก้มตาเดินจากไป
เขตชุมชนของเฉินลู่ไม่อนุญาตให้รถที่ไม่คุ้นเคยเข้ามาโดยปราศจากความยินยอมจากเจ้าของ เธอเดินจากด้านในเขตชุมชนและมาถึงประตูของเขตชุมชน ระยะทางนั้นไกลมาก
ที่พักอาศัยของเธอไม่ได้ใกล้กับเฉินลู่เลย เธอนั่งแท็กซี่ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงที่พักของเธอ
สวีซุ่ยหนิงไม่ได้กลับบ้านมาระยะหนึ่ง ผ้าปูที่นอนในห้องก็มีกลิ่นเหม็นอับ เธอเปลี่ยนผ้าปูที่นอนด้วยความเงียบ จากนั้นทำความสะอาดห้องของเธอแล้วเธอก็ไปอาบน้ำ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ คุณย่าเฉินก็ไม่อาจสงบอารมณ์ได้และเธอไม่เห็นด้วย "อาลู่ ทำไมแกถึงไม่ต้องการเธอแล้วล่ะ?"
"คุณย่าอย่าเข้าใจผิด เป็นเธอที่ดูถูกผม ไม่อยากคบหากับผมแล้ว เรื่องเลิกก็คือเธอที่เป็นคนเอ่ยปาก" เขากล่าว
เพียงแต่ว่าคุณย่าเฉินรู้จักหลานชายของตัวเองดี นัยต์ตาของเฉินลู่ไม่ปรากฏให้เห็นถึงความผิดหวังเลยแม้แต่น้อย รวมถึงท่าทีรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มของเซี่ยซีที่อยู่ข้างกาย คุณย่าเฉินจะไม่เข้าใจเรื่องราวนี้ได้อย่างไร?
เห็นอยู่ว่าหลานชายของเธอนั้นมีแผนการที่จะทิ้งหล่อนไปอยู่แล้ว คนที่เอ่ยคำว่าเลิกนั้นมีความเป็นไปได้ว่าคือสวีซุ่ยหนิง แต่แรงจูงใจในการเลิกราก็คือหลานชายของเธอเอง
เฉินลู่เอ่ยว่าสวีซุ่ยหนิงบอกเลิกเขาต่อหน้าและไม่ได้บอกอะไรเธออีก สำหรับเรื่องนี้เขาเองก็เห็นด้วย เขาไม่ได้รั้งไว้ หวังว่าคุณย่าเฉินจะเลิกข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้
คุณย่าเฉินถอนหายใจและกล่าวอย่างเสียใจ "แม่หนูหนิงหนิง ฉันชอบเธอมากจริงๆ เธอเป็นเด็กอารมณ์ดี ไม่เคยก่อเรื่องใด ดีกว่าเด็กโอหังอวดดีเหล่านั้นตั้งมากมายเท่าไร"
เฉินลู่เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ "ถ้าคุณต้องการหลานสะใภ้ ผมจะรีบหาให้เร็วที่สุดและจะแต่งภายในสิ้นปีนี้"
ไม่ว่าสวีซุ่ยหนิงจะสำคัญแค่ไหนก็ไม่อาจเทียบได้กับหลานชายของเขา ท้ายที่สุดคุณย่าเฉินก็ไม่พูดอะไรอีก ชีวิตเราก็ต้องมีความเสียใจเล็กน้อย เรื่องนี้ก็นับว่ายังใช้ได้ "แกอย่ามาล้อเล่นกับคนแก่อย่างฉันอีก เดี๋ยวแกก็ยืดเวลาอีก ไม่รู้ว่าฉันจะได้อุ้มหลานชายเมื่อไร"
เฉินลู่เอ่ย "หากคุณย่าต้องการสิ่งนี้ ผมจะทำมันอย่างจริงจังครับ"
เรื่องการเลิกรา เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เรื่องนี้ก็ถึงหูของเฉินเจ๋อชู เขาย่อมมีความสุขที่ได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น เขานัดพบเฉินลู่ เริ่มหารือเกี่ยวกับการแต่งงานของเขาอีกครั้ง
เห็นได้เลยว่าเฉินลู่ดูใส่ใจ เขาเอ่ย "คุณคิดว่าอย่างไร หากต้องการตั้งหลักปักฐานกับใครสักคนและแต่งงานภายในปลายปีนี้?"
เฉินเจ๋อชูจ้องมองเขาด้วยความสนใจและกล่าว "เดิมทีพ่อล่ะกลัวนัก กลัวว่าแกจะออกจากความลุ่มหลงในหญิงงามไม่ได้ คาดไม่ถึงเลยจริงๆว่าแกจะฟื้นตัวได้เร็วถึงเพียงนี้"
"ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว คุณคิดมากไปแล้ว" เฉินลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ
ความจริงแล้วมันก็เร็ว ราวกับว่าสวีซุ่ยหนิงไม่ได้ทิ้งอะไรหลงเหลือไว้ภายในจิตใจของเฉินลู่เลย หลังจากที่เธอไป เขาเข้าสู่สภาวะชีวิตก่อนที่จะมีเธอเข้ามา ไม่จำเป็นจะต้องปรับตัวอะไรเลย
เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่จะมีผู้หญิงอย่างสวีซุ่ยหนิงเคียงข้างเขา แต่หากไม่มีเธอ เขาก็สามารถหาความสุขอย่างอื่นได้ ไม่ใช่ว่าขาดเธอไปไม่ได้
จะเห็นได้ว่าผู้ชายเลือดเย็นมากกว่าผู้หญิงมาก เมื่อหญิงสาวเลิกรา เธอเจ็บช้ำใจถึงขีดสุด แต่ชายคนนั้นกลับมาเป็นปกติในเวลาเพียงไม่กี่วัน
เฉินเจ๋อชูเอ่ย "แกคิดแบบนี้ก็ดีแล้ว เพียงแค่มีอาชีพการงานที่ประสบผลสำเร็จ แกต้องการผู้หญิงแบบไหนล่ะ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...