สรุปตอน บทที่ 59 (1) – จากเรื่อง เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน โดย จิ่นอวิ๋น
ตอน บทที่ 59 (1) ของนิยายการโต้แย้งเรื่องดัง เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน โดยนักเขียน จิ่นอวิ๋น เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เฉินลู่เขวี้ยงกล่องถุงยางอนามัยลงพื้นอย่างสุดแรงจนกล่องเด้งขึ้นมาโดนใบหน้าของสวีซุ่ยหนิง
เธอรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่คงไม่มีเลือดออกหรอก
สวีซุ่ยหนิงหยิบกล่องนั้นขึ้นมาอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ใส่ไว้ในกระเป๋าของเธอ
เฉินลู่มองดูเธอกำลังเก็บกล่องนั้นขึ้นมาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดจาเหน็บแนม “เธอยังเก็บมันขึ้นมาอีกเหรอ?”
"ฉันซื้อมันด้วยเงินของฉันเอง นายไม่มีสิทธิ์เขวี้ยงทิ้ง ถ้านายรู้สึกขยะแขยงฉันก็อยู่ห่างๆ ฉันเอาไว้" สวีซุ่ยหนิงกำลังแกะถุงขนมมันฝรั่งทอดกรอบ แต่เธอกลัวว่าเขาจะทำลายสิ่งของของเธออีกเลยรีบดึงกระเป๋ามากอดไว้
ถุงยางกล่องละตั้งสิบกว่าหยวน ตอนนี้เธอไม่มีรายได้และเงินที่ได้มาจากการทำงานก็เอาไปซื้อรถหมดแล้ว เธอไม่มีเงินเก็บเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงต้องใช้ให้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์
เฉินลู่มองดูเธอด้วยสายตาที่เย็นชา
สวีซุ่ยหนิงกินมันฝรั่งทอดไปสองสามคำแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า "เรื่องที่ช่วยชีวิตนายไม่ใช่ฉันไม่อยากพูดนะ ฉันลองพูดแล้วแต่ไม่มีใครเชื่อฉันเลย จะมองว่าฉันหลอกใช้นายก็ได้ นายวางแผนจะลงโทษฉันยังไงเหรอ?"
“ฉันหั่นเธอให้เป็นอาหารหมาดีไหม?” น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาและรำคาญ
สวีซุ่ยหนิงพูดไม่ออก "มันไม่ยุติธรรมเกินไป แล้วที่โจวอวี้ไปแต่งงานกับเศรษฐีแก่ล่ะ"
"แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรไปเปรียบเทียบกับโจวอวี้"
สวีซุ่ยหนิงคิดว่าอย่างน้อยเธอก็มีความซื่อสัตย์มากกว่าโจวอวี้ อย่างน้อยในช่วงเวลาที่เธอคบกับเขาเธอไม่เคยนอกใจเขาแม้แต่น้อย หรือแม้แต่แอบคุยกับชายอื่น
แต่ยังไงโจวอวี้ก็คือโจวอวี้ แต่ละคนไม่เหมือนกัน
"ถ้านายต้องการจะหั่นฉันจริงๆ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” สวีซุ่ยหนิงยอมรับชะตาชีวิต“ ถ้าเป็นแบบนั้นนายก็ไม่มีคุณธรรมจริงๆ เลยนะ ฉันเพียงแค่รับมีดเล่มนั้นแทนนาย ไม่ได้นายผลักออกไปซะหน่อย คนที่ถูกแทงก็ไม่ใช่ฉันหรอกเหรอ?"
เฉินลู่พูดอย่างโหดเหี้ยมและเย็นชา “เขาน่าจะแทงเธอเพิ่มอีกสักสองแผลนะ”
สวีซุ่ยหนิงมองบน แท้จริงแล้วผู้ชายคนนี้เป็นคนจิตใจโหดเหี้ยม ยิ่งออกห่างเขาก็ยิ่งหลุดพ้นเร็ว ตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรจากเจียงเจ๋อแล้ว
หลังจากที่เธอกินขนมเสร็จเธอก็เห็นว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเธอ จึงตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้จะทำจริงๆ เธอลุกขึ้นและกำลังจะเดินเข้าไปในเต็นท์ แต่เฉินลู่กลับดึงมือเธอไว้
สวีซุ่ยหนิงมองกลับมาที่เขาและพูดอย่างระมัดระวังว่า "อย่าพยายามที่จะคิดแตะต้องตัวฉัน"
คำพูดเสียดสีของเฉินลู่ชัดเจนยิ่งขึ้น "พูดยังกับฉันไม่มีผู้หญิงข้างกาย ฉันจะคิดแตะต้องตัวเธอไปทำไม? ฉันแค่ต้องการเตือนเรื่องที่เธอใช้ประโยชน์จากความทุกข์ใจของฉันว่าเรื่องมันจะไม่จบแค่นี้หรอก"
สวีซุ่ยหนิงหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็สะบัดมือของเขาออก แล้วพูดอย่างเย็นชาเหมือนกับเขาว่า "ฉันรู้"
พอกลับมาที่เต็นท์สวีซุ่ยหนิงก็ได้ส่งข้อความไปคุยกับจางอวี้เรื่องที่ถูกแทงครั้งนั้น ผ่านไปสักพักจางอวี้ได้พูดเตือนเธอว่า "เฉินลู่ผู้ชายคนนี้มีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก ถ้าช่วงนี้เจอหน้าเขาก็ให้เดินห่างๆ ออกไป อย่างไรเสียเขาก็รักษาพ่อของเธอ มันไม่ใช่เรื่องเล็ก โรคนี้รักษาไม่หายขาดและหมดเงินไปเยอะมาก เทียบเท่าว่าเธอหลอกเงินเขาไปหลายสิบล้านเลยนะ"
เมื่อพูดถึงตัวเลขนี้ มันเป็นตัวเลขที่เธอไม่อาจจะเห็นได้ในชีวิตจริงๆ
เงื่อนไขข้อแรกของลงนามเซ็นสัญญาก็เพราะว่าเธอช่วยชีวิตเขาไว้ หากเงื่อนไขข้อแรกไม่มีผล สัญญาอาจจะเป็นโมฆะ
เฉินลู่พูดเบาๆ "มันมีทางลัด"
หวังหว่านพยักหน้าและไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
สวีซุ่ยหนิงประเมินพื้นที่ขนาดของป่าต่ำเกินไปจริงๆ เดินเข้าไปในป่านั้นง่ายแต่ออกยาก เธอยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ เดินต่อไปอีกสามสิบนาทีก็ยังไม่ถึงจุดหมาย เมื่อคิดอยากจะเดินกลับทางเดิมเส้นทางก็ดูงงไปหมดแล้ว และเธอไม่สามารถยืนยันได้ว่าทางไหนคือทางที่ถูกต้อง
สวีซุ่ยหนิงแอบด่าเฉินลู่อยู่ในใจนับครั้งไม่ถ้วน เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรหาซ่งเยี่ยน แต่พบว่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย
เธอทำได้เพียงพยายามจะเดินออกไปด้วยตัวเอง แต่พอเดินออกมาได้แล้วก็พบว่ามันเป็นเพียงที่รกร้างว่างเปล่า ไม่ใช่บริเวณตั้งแคมป์เลย
เธอเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้พบเข้ากับคนสองสามคน เป็นผู้ชายทั้งหมด และสายตาที่พวกเขามองมาที่เธอ ทำให้เธอรู้สึกตึงเครียดมาก
สวีซุ่ยหนิงเคยพบเจอเหตุการณ์คุกคามไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง เธอเคยถูกงูกัดและเธอกลัวเชือกที่ใช้สำหรับบ่อน้ำมาสิบปีแล้ว
โชคดีที่พอมีสัญญาณบ้างเล็กน้อย สวีซุ่ยหนิงรีบส่งพิกัดระบุตำแหน่งของเธอให้กับซ่งเยี่ยน พร้อมกับบอกว่าตอนนี้เธอกำลังหลงทาง
เห็นได้ชัดว่าซ่งเยี่ยนกำลังตามหาเธอแล้ว เขาหายใจเหนื่อยหอบและบอกให้เธอยืนนิ่งอยู่จุดเดิม
สวีซุ่ยหนิงมองไปที่เต็นท์ของลุงพวกนั้นที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก เธอรู้สึกหิวนิดหน่อย เพราะวันนี้ตื่นขึ้นมาก็กินแค่ขนม และการเดินมาเป็นเวลานานทำให้กินพลังงานในร่างกายของเธอเยอะมาก
ลุงพวกนั้นมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า "คนสวย มากินข้าวด้วยกันไหม?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสน่ห์เหลือร้ายของคุณนายตระกูลเฉิน
แรกๆ สงสารนอ อ่านไปอ่านมาสงสารพอ...
เฉินลู่ไอ้คนเลว ส่วนสวีซุ่ยหนิงก็ใจอ่อนน่าสงสารเสียจริง...
ซุยหนิงย้ายที่อยู่เถอะ สงสารนาง เจอแต่ผู้ชายเลวๆ...
สวีซุยหนิงทำไมชอบเป็นของเล่นของเฉินลู่ล่ะ...
ช่วยอัพต่อด้วยค่ะ...