ผ่านไปครู่หนึ่งสวี่ซื่อก็วางพู่กันลงแล้วคุกเข่าลงไปอีกครั้ง
ขันทีจึงยกพู่กันกับหมึกออกไป
เซวียนผิงตี้เห็นตัวอักษรขนาดใหญ่แปดตัวบนกระดาษก็นิ่งเงียบไปอยู่นาน
ผู้เฒ่าสวี่มีผมและเคราที่ขาวไปหมด ถึงแม้เขาจะเป็นขุนนางทางบุ๋น แต่ก็เป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี เขานั่งคุกเข่าอย่างอกผายไหล่ผึ่งอยู่บนพื้น
เดิมที่ตั้งปณิธานไว้ว่าจะใช้ความตายพิสูจน์ตนเอง
แต่เมื่อเห็นฝ่าบาทเรียกลูกสาวเข้ามา ผู้เฒ่าสวี่ก็หลั่งน้ำตาออกมาหยดหนึ่ง
“ฝ่าบาท กระหม่อมยอม...” ยังไม่ทันได้ยอมรับสารภาพผิดจนจบ
เซวียนผิงตี้ก็หัวเราะเสียงดังออกมาอย่างมีความสุขและปรบมือให้ “ดี! ดีมาก! ช่างเป็นคำที่ดีมาก ใต้หล้าสงบสุขไร้ซึ่งความวุ่นวาย”
“ยอดเยี่ยมมาก!” เซวียนผิงตี้ยืนขึ้นข้างหลังโต๊ะ แล้วเดินลงบันไดหยกลงมา
ก่อนจะก้าวเข้าไปประคองผู้เฒ่าสวี่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นขึ้นมาด้วยตัวเอง
“ท่านราชครู เป็นข้าเองที่มองท่านผิดไป ตระกูลสวี่ของท่าน จงรักภักดีต่อเป่ยเจามาหลายชั่วอายุคน แม้แต่ลูกสาวในจวนก็อุทิศทุกอย่างเพื่อเป่ยเจา” เซวียนผิงตี้รู้สึกอารมณ์ดีอย่างมาก
“คนที่มารายงานให้ร้ายตระกูลสวี่ สมควรถูกลงโทษ!” ใบหน้าของเซวียนผิงตี้เต็มไปด้วยความเกลียดชังเล็กน้อย
ขันทีที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ยื่นหนังสือเลือดเข้ามาให้ “นี่คือของที่ขุดมาได้ที่ตระกูลสวี่”
ผู้เฒ่าสวี่คานตัวลุกขึ้นมาด้วยร่างกายที่สั่นเทา และมองคำทุกคำที่เขียนด้วยเลือดด้วยความตะลึงทันที
ด้านบนเป็นพระไตรปิฎกที่คัดลอกด้วยเลือด มองดูแล้วเห็นถึงความศรัทธาอันแรงกล้า รวมไปถึงวลีที่กล่าวเมื่อครู่นี้ด้วย และยังเขียนอีกว่ายอมใช้อายุขัยสามสิบปีที่มีแลกกับความสงบสุขของเป่ยเจา ขอให้ฝ่าบาททรงมีพระอนามัยแข็งแรงและมีพระชนม์อายุยืนยาว
ที่มุมกระดาษยังเขียนด้วยว่าจากลูกหลานทั้งหมดของตระกูลสวี่
ลายมือของแต่ละคนก็แตกต่างกันมาก และทุกชื่อที่ลงนามก็มีรอยนิ้วมือที่เปื้อนเลือดประทับเอาไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนูน้อยจอมอิทธิฤทธิ์