ตอนที่ 267 เสียใจที่ต้องแยกจากจากใครบางคน
เขาหยุดไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “พระชายาฉุนเฟย ไม่ใช่สิ ตอนนี้ควรจะเรียกว่าฉุนฮองเฮา หลังจากพระนางให้กำเนิดโอรสที่มีความสามารถ องค์ชายสี่เซียวอ๋อง เขามีความสามารถด้านการทหารเป็นอย่างมาก เคยกำราบกบฏทางชายแดนได้สำเร็จครั้งหนึ่ง ได้ยินว่าอีกไม่นานจะได้รับการแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง[1] ส่วนอาหญิงของข้า ถึงแม้องค์ฮ่องเต้จะโปรดปรานเพียงใด ก็ไม่อาจนั่งตำแหน่งฮองเฮาได้”
ไป๋จื่อนึกถึงนิยายและละครโทรทัศน์ที่เคยเห็น หลังจากโอรสของฮ่องเต้สร้างความดีความชอบใหญ่หลวงแล้ว หากได้รับความรักและไว้ใจจากฮ่องเต้ ไม่ใช่ว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์ไท่จื่อ[2]หรือ แม้แต่เสด็จแม่ของเขายังนั่งตำแหน่งฮองเฮา หากตัวเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์ไท่จื่อ ก็ไม่ใช่ว่าสมชื่อและสมพระเกียรติหรืออย่างไร เหตุใดเป็นแค่ชินอ๋องเล่า
“หากเซียวอ๋องได้รับความรักและไว้วางใจจากองค์ฮ่องเต้จริงๆ ดังที่ท่านว่า เหตุใดเขาไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นไท่จื่อเล่า” ไป๋จื่อถาม
เมื่อไป๋จื่อถามออกมาเช่นนี้ สีหน้าที่เรียบเฉยของหูเฟิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เด็กสาวผู้นี้ช่างใจกล้าเสียจริง ถึงได้กล้าพูดทุกอย่างออกมาตรงๆ เช่นนี้
แม้สีหน้าของหูเฟิงจะเปลี่ยนไป ทว่าสายตาของเขายังคงมองไปทางเมิ่งหนาน รอคอยคำตอบของเขา
เมิ่งหนานก็ชะงักไปเล็กน้อยเช่นกัน ด้วยคิดไม่ถึงว่าไป๋จื่อจำถามคำถามพรรค์นี้ออกมา
เขาเป็นคุณชายของสกุลเมิ่ง ย่อมรู้เหตุผลภายในดี แต่เขาไม่อาจบอกเหตุผลเหล่านั้นให้ทุกคนบนโลกหล้ารู้ได้ตามใจชอบ
ครั้นเห็นสีหน้าของเมิ่งหนานดูลำบากใจอยู่บ้าง ไป๋จื่อก็รีบกล่าวว่า “ท่านไม่ต้องตอบหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงถามเพราะความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น หากทำให้ท่านรู้สึกลำบากใจ ข้าขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะ”
เมิ่งหนานไม่รู้ว่าควรพูดอะไร หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็รู้สึกอ้างว้างขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วย
นี่อาจจะเป็นเพราะช่องว่างระหว่างเขากับไป๋จื่อ ช่องว่างที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ เขาไม่อาจเปิดเผยกับนางได้อย่างหมดเปลือก ย่อมมีบางเรื่องที่พูดออกไปไม่ได้ ถึงแม้นางจะดูเหมือนอยากรู้มากก็ตาม
ไป๋จื่อก็เข้าใจในเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด นางจึงปฏิเสธที่จะไปเมืองหลวงกับเขา ฉลาดยิ่งนัก นางรู้ว่าตนเองอยากใช้ชีวิตเช่นไร และมีความสามารถที่ใช้ชีวิตเช่นที่ตนเองคิดไว้
แล้วตัวเขาเองเล่า?
หากเขาพานางไปเมืองหลวง เขาจะสามารปกป้องนางได้หรือไม่
เขาไม่รู้!
จินเสี่ยวอันเห็นคุณชายของตนมีท่าทีเช่นนั้น เขาก็พลันมีสีหน้าลำบากใจในทันที ก่อนจะยิ้มซื่อให้กับไป๋จื่อ “แม่นางไป๋ เจ้าอย่าถือสาเลยนะ คุณชายไม่ได้ตั้งใจจะไม่บอกเจ้า เพียงแต่นี่เป็นเรื่องในราชสำนัก พวกข้าเองก็ไม่อาจพูดเรื่อยเปื่อยได้เช่นกัน”
ไป๋จื่อไม่ได้ถือสาอยู่แล้ว เมื่อครู่นางเพียงถามออกไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไร มนุษย์ย่อมมีจิตใจใฝ่หาการนินทา แต่นางไม่ใช่คนที่กระหายการนินทาเช่นนั้น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไม่ถือสาอยู่แล้ว เป็นข้าเองที่ไม่ควรถาม เอาล่ะ ดื่มชาเถอะเจ้าค่ะ”
นางก็ไม่คาดคิดเช่นกัน ว่าการที่นางถามออกไปเช่นนั้น จะทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดถึงเพียงนี้ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้นางก็คงไม่ถาม เดิมทีนางก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวอะไรในราชสำนักอยู่แล้ว
หูเฟิงผุดลุกขึ้นอีกครั้ง กลับไปยังริมหน้าต่าง สายตาเคร่งขรึมทอดมองไปยังกลุ่มคนที่เดินกันขวักไขว่อยู่บนถนน
งานเลี้ยงอำลาในวันนี้ พ่อครัวใหญ่ใช้ฝีมือทั้งหมดที่มี ทำอาหารเลิศรสที่เขาถนัดออกมาจนเต็มโต๊ะขนาดใหญ่เลยทีเดียว
มาตรว่าเถ้าแก่เฉินจะกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง แต่เขากลับไม่เห็นเมิ่งหนานยิ้มแม้สักครั้ง เอาแต่กระดกสุราขึ้นดื่มจอกแล้วจอกเล่า
เถ้าแก่เฉินพาจินเสี่ยวอันไปถามที่มุมหนึ่ง “คุณชายของเจ้าเป็นอะไรไป ดูท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์เอาเสียเลย”
จินเสี่ยวอันก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ คุณชายก็มีท่าทีเช่นนี้ เมื่อครู่ยังอารมณ์ดีอยู่เลย คงไม่ได้เป็นเพราะแม่นางไป๋ถามออกมาเช่นนั้นกระมัง
เขาส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรไป อาจจะเป็นเพราะพรุ่งนี้ต้องจากไปแล้ว แต่ยังตัดใจไม่ได้” จินเสี่ยวอันตอบพลางยิ้มเจื่อนๆ ช่วงนี้คุณชายเปลี่ยนไปมาก หากจะพูดให้ถูกต้อง คุณชายเปลี่ยนไปมากหลังจากรู้จักกับแม่นางไป๋
ทั้งสองคนกลับไปยังงานเลี้ยง เพื่อคลายบรรยากาศน่าอึดอัด เถ้าแก่เฉินจึงคิดจะดื่มอวยพรให้ใต้เท้าเมิ่งเดินทางปลอดภัยในวันพรุ่งนี้
ทว่าเขายังไม่ทันได้พูดออกมา ก็เห็นไป๋จื่อคีบหมูนึ่งข้าวคั่วชิ้นหนึ่งใส่ใจชามข้าวตรงหน้าหูเฟิง “เจ้าชอบกินไม่ใช่หรือ รีบชิมเร็ว!”
หูเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาชอบกินสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อใด อาหารมันย่องเช่นนี้ เขากินอยู่น้อยครั้งนักมาแต่ไหนแต่ไร
เขาเหล่มองนาง ก่อนจะเห็นนางขยิบตาให้เขา ในใจพลันรู้ทันนางในทันใด เด็กสาวนางนี้ท่าทางจะอยากใช้เขาเป็นโล่ ทำให้เมิ่งหนานตัดใจจากนางสินะ
ชายหนุ่มคีบหมูนึ่งข้าวคั่วในชามขึ้นมาใส่ปาก แม้จะเป็นหมูสามชั้น ทว่าไม่มันเลี่ยน หอมข้าวคั่ว นับเป็นอาหารที่ไม่เลวเลย
หลังจากเขาชิมไปคำหนึ่งแล้ว เขาก็วางที่เหลือกลับลงในชาม “ไม่เท่าที่เจ้าทำ” เสียงของเขาเบามา แต่ก็พอจะทำให้คนทั้งโต๊ะได้ยินอย่างชัดเจน
เมิ่งหนานไม่ได้พูดอะไร เพียงยกจอกขึ้นดื่มสุรา ก่อนจะคว้ากาสุรามาเทเพิ่มอีก
จินเสี่ยวอันจับมือเขาเอาไว้ “คุณชาย ดื่มน้อยๆ หน่อยเถอะขอรับ ตอนบ่ายยังมีธุระต้องจัดการอีก”
เมื่อพูดถึงงานราชการ เมิ่งหนานก็ถอนใจหนักๆ ออกมาเสียงหนึ่ง จริงด้วย บ่ายนี้เขายังมีธุระต้องจัดการอีก แม้เขาจะเป็นคุณชายของสกุลเมิ่ง แต่กลับไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจดื่มสุราสักสองจอกในเวลาที่ตนเองอยากดื่ม
เถ้าแก่เฉินรีบคีบแผ่นแป้งแตงดินใส่ในชามตรงหน้าเมิ่งหนานอย่างเอาใจใส่ พลางยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่พ่อครัวใหญ่ในร้านสือเค่อของข้าทำ ท่านลองชิมดูสิ ว่าพอจะเทียบกับของที่แม่นางไป๋ทำได้บ้างหรือไม่”
[1] ชินอ๋อง (亲王) ใช้เรียกโอรสของชายาเอกในองค์จักรพรรดิ
[2] ไท่จื่อ (太子) หมายถึง องค์รัชทายาท
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
แอดรบกวนลงให้อ่านจนจบได้ไหมคะ รออ่านอยู่น้า...
สนุกมากค่ะ แอดรบกวนอัปให้อ่านจนจบได้ไหมคะรออ่านอยู่น้าาาาา...
อัพเดทตอนใหม่เมื่อไรค่ะ...
คุณแอดมินผู้ใจดี ช่วยอัพเดทตอนใหม่เยอะๆเลยนะคะ ชอบมาก สนุก พลีสสสสส...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...
เอาใจช่วยหูเฟิงทวงคทนอำนาจนะ...
ถ้าพ่อไม่ถูกเมียรังแกจนเกือบตายก็คงไม่ตื่นสินะ...
ดีใจกับเสี่ยวเฟิง...