กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ นิยาย บท 1130

“ท่านประมุข ท่านอาจจะยังไม่รู้ หากเยี่ยจิ่งหานยังมีชีวิตอยู่ ทั่วทั้งใต้หล้าก็คงไม่มีใครกล้ารุกรานรัฐเยี่ย แต่ตั้งแต่เยี่ยจิ่งหานที่มายังดินแดนวิญญาณเยือกแข็ง จักรพรรดิเยี่ยก็เหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนละคน”

“เขามุ่งเป้าไปที่ลูกน้องของเยี่ยจิ่งหาน บางคนถูกลดตำแหน่ง บางคนถูกปลด บางคนถึงกับเสียชีวิต เพิ่มภาษี บังคับใช้กฎหมายอย่างหนัก เอาแต่เพลิดเพลินกับความสุข ไม่เข้าราชสำนักยามเช้า และด้วยเหตุผลบางประการ รัฐเยี่ยพบกับ ภัยตั๊กแตน น้ำท่วม ภัยแล้ง ประชาชนอดตาย ไร้ที่อยู่ สวรรค์จึงพิโรธเป็นอย่างมาก”

“และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรัฐฉู่ เขามุ่งเป้าไปที่รัฐเยี่ย ออกสาสน์ทำศึกกับรัฐเยี่ยครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับต้องการกลืนกินรัฐเยี่ย เวลานี้รัฐเยี่ยอยู่ในความโกลาหล ทำให้คนสนิทของเยี่ยจิ่งหานต้องออกหน้ามาปกป้อง แต่อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิมีนิสัยที่ย่ำแย่ ไม่มอบอำนาจให้กับเขา เปลี่ยนแปลงพระราชโองการในทุกวัน ยื่นมือเข้ามายุ่งทำให้การศึกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย”

“นี่เป็นเหตุให้รัฐเยี่ยเสียเมืองขึ้นไปทีละเมือง และเหล่าผู้ที่คอยรับใช้เยี่ยจิ่งหานก็พากันลาออก เวลานี้เกือบจะถูกรัฐฉู่ยึดเป็นเมืองขึ้นแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นาน รัฐเยี่ยก็คงล่มสลาย”

ในขณะที่พูดออกมา ผู้อาวุโสหกก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

รัฐเยี่ยเป็นประเทศที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น นี่เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่ปี ประเทศของเขากลับกำลังล่มสลาย มันช่างน่าเสียดายยิ่งนัก

หากเยี่ยจิ่งหานยังอยู่ในดินแดนเยี่ยอวี่ ใครจะกล้ามารุกรานรัฐเยี่ย?

ฝูกวงที่ได้ฟังเรื่องราวก็ถึงกับอ้าปากค้าง

ราวกับว่าเขาไม่อยากจะเชื่อ

ฝูกวงกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ บุคคลลึกลับผู้นั้นก็เป็นศัตรูกับรัฐเยี่ย? หากไม่ใช่ศัตรูเหตุใดจึงคิดจะก่อสงคราม หรือเป็นเพียงการขยายอาณาเขตเท่านั้น? หากเป็นแค่การขยายอาณาเขต รัฐฉู่ก็ควรจะปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกสองสามปีแล้วค่อยบุกโจมตี เพราะเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะลงมือ รัฐเยี่ยเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เขาไม่จำเป็นต้องลงทุนให้เสียแรงและกำลังถึงเพียงนี้”

“เรื่องนี้ใครจะไปรู้ อ่า ใช่แล้ว ยังมีเรื่องของเผ่าปีศาจ......อาจกล่าวได้ว่าบุคคลลึกลับผู้นี้เกลียดเผ่าปีศาจจนเข้ากระดูกดำ เขากวาดล้างเผ่าปีศาจจนหมดสิ้น เหล่าสาวกของเผ่าปีศาจจำนวนมากเสียชีวิตภายใต้เนื้อมือของเขา”

“ไม่เพียงเท่านั้น รัฐฉู่ยังประกาศไปทั่วทั้งใต้หล้า หากพบเห็นเผ่าปีศาจ เขาก็จะสังหารเผ่าปีศาจผู้นั้น หากใครพบเบาะแสของเผ่าปีศาจ หรือสามารถนำหัวของเผ่าปีศาจมาได้ คนผู้นั้นจะได้รับรางวัลอย่างงาม ไม่ว่าจะเป็นทองคำ บ้านเรือน หรืออะไรก็แล้วแต่......”

กู้ชูหน่วนกล่าวออกมาด้วยความตกใจ “เจ้าบอกว่าเผ่าปีศาจล่มสลายแล้วงั้นหรือ? เผ่าปีศาจแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นแต่กลับถูกทำให้ล่มสลาย?”

“ใช่......ใช่แล้ว......พวกข้าเองก็รู้สึกตกใจเช่นกัน ความแข็งแกร่งของเผ่าปีศาจนั้นเทียบเท่าได้กับเผ่าเพลิงฟ้า แม้ว่าจอมมารไม่อยู่ แต่หากเผ่าหยกของพวกเราคิดจะจัดการเผ่าปีศาจ มันก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ในดินแดนของเผ่าปีศาจยังมีอุปกรณ์และกับดักมากมายติดตั้งอยู่ รวมถึงค่ายกลอีกมากมาย”

ทั่วทั้งร่างกายของฝูกวงเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น “ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าจอมมารมีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านอ๋องมากเพียงใด หรือว่าสิ่งที่บุคคลลึกลับนั้นต้องการคือการทำลายเผ่าหยกของพวกเรา”

“พวกข้าเองก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นเผ่าหยกจึงสั่งเปิดคำสั่งแห่งชีวิตวิเศษ เพื่อพร้อมที่จะต่อสู้และรับมือกับพวกเขาทุกเมื่อ และในช่วงเวลาที่ประชาชนของเผ่าหยกอพยพไปอยู่ที่อื่น บุคคลลึกลับผู้นั้นก็ไม่ยอมโจมตีเผ่าหยกของพวกเรา”

“เป็น......เป็นเหมือนกับที่ท่านผู้อาวุโสใหญ่กล่าวไว้ เขาสามารถสังหารใครก็ได้ในโลกใบนี้ เว้นอย่างเดี๋ยวก็คือคนในเผ่าหยกของพวกเรา”

“ท่านผู้อาวุโสให้ถามว่าเขาเป็นใคร เขาก็ไม่ยอมตอบ”

“ท่านผู้อาวุโสใหญ่รู้เพียงแต่ว่าเขาผู้นั้นมีอายุไม่มาก เต็มที่ก็แค่ยี่สิบกว่าปี เป็นเพียงเด็กหนุ่ม น้ำเสียงเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก รอบกายเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อันตราย”

“อาหน่วน หรือว่าเจ้าจะรู้จักบุคคลลึกลับผู้นั้น ไม่เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงดูสนิทสนมกับเผ่าหยกของพวกเราเป็นอย่างมาก”

“แต่หากเจ้ารู้จักเขา เหตุใดเขาถึงโจมตีรัฐเยี่ย และทำลายเผ่าปีศาจ?”

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้วแน่น

นางคิดไปคิดมา นางก็คิดไม่ออกว่าคนผู้นั้นเป็นใคร

หากนางรู้จัก เหตุใดนางถึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาหลงเหลืออยู่เลย

หรือว่าคนผู้นั้นคือเยี่ยเฟิง?

นอกจากเยี่ยเฟิงแล้ว นางก็คิดไม่ออกเลยว่าใครจะเป็นผู้ที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือรัฐฉู่?

สุดท้ายแล้ว......ลั่วอิ่งก็อยู่ในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งมาโดยตลอด

แต่เยี่ยเฟิงได้ตกลงไปในหินหนืดทะเลโลหิตแล้ว

อุณหภูมิของลาวาหลายพันองศา อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ต่อให้เป็นเหล็กก็ยังหลอมละลาย

ยิ่งไปกว่านั้น......

หากเป็นเยี่ยเฟิง เหตุใดเขาจึงต้องเล่นงานรัฐเยี่ย?

ดูเหมือนรัฐเยี่ยก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขาไม่พอใจ

คิดไปคิดมากู้ชูหน่วนก็คิดไม่ออกว่าแท้จริงแล้วคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่

ผู้อาวุโสหกโบกมือพร้อมกล่าวว่า “อั๊ยย่ะ นึกไม่ออกก็ไม่ต้องไปนึก ขอแค่เขาไม่มีความคิดที่จะทำลายเผ่าหยกของพวกเราก็เพียงพอแล้ว หลังจากรัฐเยี่ยสูญเสียเยี่ยจิ่งหาน สิ่งที่เจ้าจักรพรรดิน้อยผู้นั้นทำลงไปช่างอุกอาจยิ่งนัก ทำให้ประเทศพังพินาศจนย่อยยับ มันจึงไม่น่ารู้สึกเสียใจสักเท่าไหร่ แต่ที่น่าเสียดายก็คือเผ่าปีศาจ จอมมารซือม่อเฟย เขาช่วยเหลือเผ่าหยกของพวกเราไว้ไม่น้อย”

ไป๋เฉ่าพูดแทรกออกมา “หากเป็นความคิดของเขา การที่เผ่าปีศาจถูกทำลายมันก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว เผ่าปีศาจนอกจากจอมมารและปรมาจารย์อีกไม่กี่คน ปีศาจตนอื่นล้วนโหดร้ายและไร้ความปราณี พวกเขาทำสิ่งชั่วร้ายทุกอย่างไม่เลือกหน้า โดยเฉพาะผู้นำกองธงเหล่านั้น พวกเขาล้วนก่ออาชญากรรมมากมายไม่เลือกหน้า”

กู้ชูหน่วนจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสหกและผู้อาวุโสไป๋เฉ่าด้วยความเยือกเย็น

“ผู้อาวุโสหกคงไม่ได้ลืมไปใช่ไหม นอกจากข้าจะเป็นประมุขของเผ่าหยก ข้ายังเป็นองค์หญิงแห่งรัฐเยี่ย ในร่างกายของข้ามีเลือกของราชวงศ์เยี่ยไหลเวียนอยู่”

“เอ่อ......คือเรื่องนี้......ข้าลืมไปเสียสนิทเลย เช่นนั้นความหมายของอาหน่วนก็คือ......พวกเราจะหลับไปดินแดนเยี่ยอวี่เพื่อทวงบัลลังก์ของรัฐเยี่ยกลับคืนมา?”

“เรื่องนี้รอหลังกลับไปแล้วค่อยว่ากัน”

เวลานี้อาการบาดเจ็บของเสี่ยวเยี่ยเยี่ยและอาม่อยังคงอยู่ในขั้นสาหัส นางจะมีกะจิตกะใจคิดเรื่องกลับไปได้อย่างไร

“ท่านประมุข เวลานี้เป็นเวลาที่รอยแยกแห่งห้วงมิติอ่อนแอเป็นอย่างมาก พวกเราจำเป็นต้องกลับดินแดนเยี่ยอวี่โดยเร็วที่สุด หากรอให้รอยแยกแห่งห้วงมิติประสานตัวกันกลับมาอีกครั้ง ท่านก็จะหมดหนทางในการกลับไปยังดินแดนเยี่ยอวี่”

“ในโลกปัจจุบัน พวกเจ้าสองคน เยี่ยจิ่งหาน อาโม่รวมถึงเยี่ยจิ่งหาน ไม่ว่าจะเวลาใดก็สามารถข้ามผ่านห้วงมิติได้ ทั้งสองทวีปสามารถเดินทางได้อย่างอิสระไม่ใช่หรือไง?”

“มันก็ไม่ใช่เช่นนั้นเสียทีเดียว”

“รอยแยกแห่งห้วงมิติยังอยู่ได้นานอีกแค่ไหน?”

“ตอนแรกก็ประมาณหนึ่งเดือน แต่พวกเจ้าต่างได้รับบาดเจ็บ ทำให้เสียเวลาไปเป็นจำนวนมาก เวลานี้มากที่สุดก็อยู่ได้ไม่เกินสิบวัย หลังจากสิบวัน หากท่านไม่ออกไป เกรงว่า......จากนี้ก็คงหมดหนทางกลับไป เนื่องจากกระจกหงส์ถูกทำลายไปแล้ว เครื่องมือสองล้อเองก็ถูกทำลาย เวลานี้เหลือเพียงขวานผานกู่อย่างเดียวเท่านั้น”

“สิบวัน......ช่วงระยะเวลาสิบวัน เสี่ยวเยี่ยเยี่ยน่าจะพอขยับได้บ้าง แต่เกรงว่าคงไม่อาจเดินทางไกลได้”

“ท่านประมุขหมายความว่า พวกเรารออยู่ที่นี่อีกสองสามวัน รอให้อาการของคุณชายเยี่ยดีขึ้น จากนั้นพวกเราก็จะกลับไปพร้อมกัน”

“อ่า ผู้อาวุโสหก เจ้ากลับไปเผ่าหยก ไปที่ลิ้นชักที่สองในห้องหนังสือเพื่อนำป้ายคำสั่งหอออกมา นำแผ่นป้ายนั้นออกมาเพื่อสั่งให้หออันดับหนึ่งในใต้หล้าค้นหาจากข้อมูลทั้งหมด ต้องตรวจสอบตัวตนของชายลึกลับผู้นั้นให้ได้ มีเพียงป้ายคำสั่งหอเท่านั้นที่สามารถทำให้หออันดับหนึ่งในใต้หล้ายอมคนหาข้อมูลของคนผู้นั้นอย่างสุดกำลัง”

“ตกลง”

“แจ้งนิกายเทพอสูรกับเผ่าหยก สนับสนุนและปกป้องรัฐเยี่ยอย่างเต็มกำลัง เผชิญหน้ากับบุคคลลึกลับแบบซึ่งหน้า เรื่องอื่นรอให้ข้าเป็นคนกลับไปจัดการด้วยตัวเอง”

“ตกลง”

จู่ ๆ ลั่วอิ่งก็เข้ามารายงาน “นายท่าน จอมมารฟื้นแล้ว”

“อาม่อฟื้นแล้ว”

ควับ......

เห็นแค่เพียงเงา ร่างของกู้ชูหน่วนที่อยู่ตรงหน้าหายไปทันที

ในห้องส่วนตัว จอมมารทุบกระจกทุกบานในห้อง เสียงข้าวของแตกกระจายดังลั่นออกไปถึงด้านนอก

“กุ้ยจวิน ท่านได้โปรด ได้โปรดอย่าทำลายข้าวของอีกเลย ฝ่าบาททรงรับสั่งไว้ ขอแค่ค่อย ๆ ทำการรักษาต่อไป รูปลักษณ์ของท่านจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”

“ไสหัวไป......ไสหัวไปให้หมด”

“ปัง......”

เสียงแจกันดอกไม้แตกดังขึ้นอีกครั้ง

ความเจ็บปวดแทรกซึมเข้ามาในหัวใจของกู้ชูหน่วนทันที

นางรู้ว่าเวลานี้ คนที่จอมมารไม่อยากพบหน้าที่สุดก็คือนาง

แต่บาดแผลบนใบหน้าของเขาไม่ได้หายในระยะเวลาอันสั้น นางต้องอยู่เคียงข้างเขาไปอีกนานเพื่อทำการรักษา

กู้ชูหน่วนพยายามฝืนยิ้มออกมาพร้อมผลักประตูเข้าไป

“อาม่อ เจ้าเอะอะโวยวายอีกแล้วงั้นหรือ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์