มังกรผู้ทรงพลัง นิยาย บท 1100

สรุปบท บทที่ 1100 ได้เห็นการสิ้นสุดของตำนาน: มังกรผู้ทรงพลัง

อ่านสรุป บทที่ 1100 ได้เห็นการสิ้นสุดของตำนาน จาก มังกรผู้ทรงพลัง โดย จาง หลงหู

บทที่ บทที่ 1100 ได้เห็นการสิ้นสุดของตำนาน คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยายโรแมนติกในเมือง มังกรผู้ทรงพลัง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย จาง หลงหู อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ความรู้สึกของหยางกวนกวนไม่ผิด

เหลยเทียนซื่อโดดเดี่ยวจริงๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาแทบไม่เห็นคนที่คล้ายคลึงกับเขาเลย

แต่การปรากฏตัวของฉีเติ่งเสียนทำให้เขารู้สึกปลื้มปีติ ดังนั้นเขาจึงเชื่อใจผู้ชายคนนี้และฝากฝังเรือตระกูลเหลยทั้งหมดไว้กับเขา

หลังจากเหลยเสวี่ยเจียวได้ยินคำพูดของฉีเติ่งเสียน เธอก็ร้องห่มร้องไห้และพูดว่า “มันเป็นความผิดของนาย นายเอาแต่ยืนกรานว่าจะดื่มกับคุณปู่ นายเป็นคนทำร้ายเขา!”

ฉีเติ่งเสียนขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับผู้หญิงโง่เง่าคนนี้

แต่เหลยเจิ้นฉีกลับพูดว่า “มันไม่ใช่ความผิดของเขา ปู่ของเธอรู้ว่าตัวเองอยู่ได้ไม่พ้นวันนี้ เขาจึงเลือกจากไปด้วยวิธีนี้ แบบนี้ก็เหมาะกับนิสัยเขาดี!”

เหลยเจินเหลินค่อยๆ พูดขึ้นว่า “เป็นวีรบุรุษขณะมีชีวิตอยู่ ตายแล้วก็เป็นผีอาจหาญ จวบปัจจุบันยังนึกถึงเซียงอวี่ที่ไม่ยอมข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งตะวันออก!”

คนหลายคนลุกจากโต๊ะและโค้งคำนับศพของเหลยเทียนซื่ออย่างจริงจัง

พ่อบ้านเหลยพูดด้วยสีหน้าสงบ “ท่านผู้อาวุโสจากไปแล้ว จากนี้ไปตระกูลเหลยต้องพึ่งพานายน้อยทั้งสอง ผมไม่สามารถทำอะไรได้มาก”

เหลยเจิ้นฉีพยักหน้าแล้วพูดว่า “เตรียมตัวจัดงานศพเถอะ”

ฉีเติ่งเสียนประสานมือคารวะคนทั้งสองแล้วพูดว่า “ผมไม่รบกวนแล้ว เดี๋ยวผมจะโทรหามหาวิหารเซียงซานและขอให้บาทหลวงจัดพิธีไว้อาลัย”

คนรุ่นเก่าในเซียงซานส่วนใหญ่แทบจะเป็นลูกศิษย์ของศาสนาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด เพราะตอนนั้นชาวตะวันตกมีอิทธิพลต่อคนเมืองนี้มาก

การจัดพิธีไว้อาลัยในโบสถ์เป็นเรื่องที่เหมาะสมมาก เมื่อถึงตอนที่ตระกูลเหลยประกาศว่าจะมอบเรือตระกูลเหลยให้ศาสนาศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ดูแลจะได้ไม่กะทันหันเกินไป

“กวนกวน เราไปกันเถอะ” ฉีเติ่งเสียนโบกมือเรียกหยางกวนกวน แล้วพูดอย่างใจเย็น

“อืม!” หยางกวนกวนพยักหน้า ประสานมือคารวะและคำนับร่างของเหลยเทียนซื่อ จากนั้นก็หันหลังและเดินตามฉีเติ่งเสียนออกจากบ้านตระกูลแหลย

ดูเหมือนว่าเหลยเจิ้นฉีและเหลยเจินหลินจะคาดเดาไว้แล้วว่าจะมีวันนี้ ทั้งสองหยิบชุดสูทที่เหลยเทียนซื่อสวมใส่เมื่อยังเป็นหนุ่มออกมา รวมถึงรูปขาวดำที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาให้พ่อบ้านเหลยและคนรับใช้ที่บ้านช่วย ในขณะเดียวกันก็ขอให้เหลยเสวี่ยเจียวประกาศข่าวสู่โลกภายนอกและแจ้งให้ญาติสนิทมิตรสหายของตระกูลเหลยทราบ

“เฮ้อ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ชีวิตนี้พ่อลำบากมามากเหลือเกิน!” เหลยเจิ้นฉีถอนหายใจอย่างอดไม่ได้และพูดออกมาจากใจจริง

“ต่อจากนี้เราต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อจะได้เป็นคนแบบพ่อ” เหลยเจิ้นฉียิ้มและตบบ่าน้องชายของตน

ทั้งสองไม่ได้รู้สึกเศร้าเกินไปเพราะพวกเขาคิดไว้แล้วว่าวันนี้จะมาถึง อีกอย่างเหลยเทียนซื่อได้ไปสู่สวรรค์ด้วยวิธีที่กล้าได้กล้าเสียเช่นนี้ก็นับว่าคู่ควรกับความสุข

ชีวิตคนเรายากนักที่จะเจอคนที่รู้ใจ ก่อนจะสิ้นชีวิต เขาดื่มเหล้าอย่างหนำใจและเมามายจนเสียชีวิตต่อหน้าเพื่อนรู้ใจ เขาก็คงยิ้มได้อยู่ในยมโลก

หยางกวนกวนเดินไปตามทางกับฉีเติ่งเสียนและพูดว่า “ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งฉันจะได้เป็นพยานรู้เห็นในช่วงเวลาประวัติศาสตร์และได้เห็นบุคคลที่น่าทึ่งจากไปแบบนี้”

ฉีเติ่งเสียนพูดด้วยท่าทีสงบ “เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติของโลกมนุษย์ ไม่ว่าวิทยายุทธจะสูงเพียงใดก็หลีกหนีจากวงจรนี้ไม่ได้ การฝึกศิลปะการต่อสู้ไม่ได้ฝึกเพื่อให้เป็นอมตะ แต่เป็นการฝึกจิตวิญญาณ”

“ในอดีต ตอนที่เทพแห่งการต่อสู้อย่าซุนลูถังรู้สึกว่าชีวิตของเขากำลังจะจบลง เขาเคยพูดเรื่องนี้กับลูกสาวของเขา”

“ลูกสาวของเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงเชิญหมอจากเจอมณีมาตรวจเขา แต่หมอบอกว่าร่างกายของเขาแข็งแรงดี ไม่มีอะไรผิดปกติ”

“สองวันถัดมา ผู้อาวุโสซุนก็ขี่นกกระเรียนไปสู่สวรรค์”

“ขณะเผชิญหน้ากับความตาย เขาก็ยังมีท่าทีสงบ นี่คือคนที่เข้าใจจิตใจและความคิดของตัวเอง เป็นผู้เข้าใจความลึกลับของชีวิตและความตายอย่างแท้จริง!”

หยางกวนกวนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เหตุผลที่เธอฝึกศิลปะการต่อสู้ก็เพื่อแก้แค้น หลังจากแก้แค้นสำเร็จ เธอก็ยังตั้งใจฝึกต่อเพราะเธอต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น

ฉีเติ่งเสียนหันมาเชิดหน้าใส่หยางกวนกวนด้วยท่าทางหยิ่งยโสเพื่อที่จะสื่อความหมายว่า ดูสิ ผมบอกแล้วว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ

แต่หยางกวนกวนกลับหัวเราะเยาะและเธอก็จะขี้เกียจจะตอบโต้กับชายคนนี้

“ลุงสวี่ ผมอยากให้ลุงเป็นผู้ถือหางเสือของเซียงซานหลงเหมิน ลุงคิดว่าไง” ฉีเติ่งเสียนยกถ้วยชาขึ้นแล้วพูดกับสวี่ฉางเกอ

“แกร๊ง!”

ทันใดนั้นถ้วยชาในมือของสวี่ฉางเกอก็หล่นลงกับพื้น เขาตกใจมากและคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับหูของเขา

เขายิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “คุณฉี อย่าล้อผมเล่นแบบนี้สิ ผมแก่แล้ว รับไม่ไหวหรอกนะ!”

จ้าวซินหลานเงี่ยหูฟังจากระยะไกล เมื่อเห็นท่าทีของสวี่ฉางเกอ เธอก็ทั้งรู้สึกโกรธและหงุดหงิด จากนั้นเธอก็พุ่งพรวดเข้าไปและพูดด้วยความโกรธ “ในเมื่อคุณชายฉีพูดมาแบบนี้ คุณก็รับๆ ไปเถอะ ทำไมถึงปฏิเสธความหวังดีของผู้อื่นแบบนี้!”

หลังจากพูดจบ จ้าวซินหลานก็รีบเติมชาให้ฉีเติ่งเสียนและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณฉี ดื่มชาเยอะๆ สิ จะได้ดับกระหาย”

เมื่อเห็นท่าทีที่แม่ของเธอมีต่อฉีเติ่งเสียนในเวลานี้ สวี่อี้หรูก็ตบหน้าผากตัวเองเบาๆ และแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี

ในตอนที่ฉีเติ่งเสียนปลอมตัวเป็นหลี่ปั้นเสียนและไปหลบภัยกับตระกูลสวี่ ทัศนคติของจ้าวซินหลานที่มีต่อเขานั้นยิ่งกว่าคำว่าชั่วร้ายเสียอีก!

แต่ตอนนี้ท่าทีประจบสอพลอของเธอแทบจะขุดห้องสามห้อง หนึ่งห้องรับแขกด้วยนิ้วเท้าได้เลย

สวี่ฉางเกอจ้องจ้าวซินหลานด้วยความไม่พอใจ!

ฉีเติ่งเสียนพูดนิ่งๆ ว่า “ลุงสวี่ ลุงได้ยินไม่ผิดหรอก อันที่จริงผมมีความคิดนี้มานานแล้ว”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง