“เติมนมข้นจืดหนึ่งช้อนโต๊ะ……”
“กลิ่นหอมก็ตีขึ้นมาเลย?”
“เติมน้ำมันงาไปเล็กน้อย กินแล้วฟองออกปากแน่นอนเลยพี่น้อง!”
ฉี่เติ่งเสียนขยับหูเล็กน้อยก็ได้ยินเสียงไป๋หลิ่วที่ดังออกมาจากห้องครัว ทำให้เขาตัวสั่นอย่างหยุดไม่ได้
ให้หยางกวนกวนรับรองหลี่เหอถู ส่วนเขานั้นถึงกับต้องวิ่งไปดูที่ห้องครัว
เมื่อถึงครัวแล้ว ก็เห็นไป๋หลิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ ชี้แนะลูกศิษย์ทั้งสองให้ผัดอาหารอยู่
“อาจารย์ฉี มีอะไรหรือ?” ไป๋หลิ่วถามพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก
“ไม่มีอะไร แค่สงสัยว่าอาจารย์ไป๋ทำอาหารรสเลิศออกมาได้อย่างไรกัน ดังนั้นจึงมาดูด้วยความอยากรู้” ฉี่เติ่งเสียนพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดได้ว่าเขากลัวว่าไป๋หลิ่วจะทำอะไรกับนมข้นจืดแล้วทำให้เขาฟองออกปาก เขายังคงต้องสงวนท่าทีของตัวเองไว้
หลังจากที่ไป๋หลิ่วได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มบนหน้าก็กว้างขึ้นไปอีก แน่นอนว่าเธอนั้นไม่ได้ใส่ยาพิษอะไรลงไป ที่พูดเมื่อซักครู่ก็แค่อยากให้ฉี่เติ่งเสียนผวาขึ้นมาเฉยๆ
ตาสองข้างของเธอนั้นเป็นฉี่เติ่งเสียนที่ทำให้บอดไป แต่ในใจกลับไม่ได้แค้นเคือง พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ
แม้ว่าฉี่เติ่งเสียนจะช่วยชีวิตเธอไว้ แต่มันคนละกรณีกัน เวลาที่ควรตอบแทนก็ต้องตอบแทนให้เหมาะสม
“ในเมื่ออาจารย์ฉีได้เห็นแล้ว รบกวนออกไปรอซักครู่ อีกไม่นานอาหารก็เสร็จแล้ว” ไป๋หลิ่วพูด
“อืม ได้เลย!” ฉี่เติ่งเสียนตอบรับแล้วก็หมุนตัวเดินออกมา
หลังจากที่ฉี่เติ่งเสียนเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินไป๋หลิ่วพูดเบาๆ ว่า “ใส่สารเร่งเนื้อแดงอีกหน่อย แต่อย่าใส่เยอะ ไม่งั้นจะ……”
ฉี่เติ่งเสียนได้ยินเช่นนั้นก็อดตัวสั่นไม่ได้ รีบหมุนตัวกลับมาดู
ไป๋หลิ่วรีบปิดปากเงียบ พ่อครัวสองคนก็กำลังยุ่งอยู่กับการผัดอาหาร บนโต๊ะไม่มีสิ่งผิดปกติอะไร
“โอ้ว ไป๋หลิ่วคงไม่แค้นฉันจนถึงขั้นจงใจวางยาฉันหรอกมั๊ง?ทำไมพอเข้ามาก็เงียบอีกแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไร?” ฉี่เติ่งเสียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอาย
ดังคำที่ว่าอาหารนั้นคือสิ่งสำคัญของผู้คน และความปลอดภัยของอาหารนั้นสำคัญกว่าทุกสิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่มะเร็งนั้นเพิ่มขึ้นและคนเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นเกิดขึ้นกับคนอายุน้อยลงเรื่อยๆ
ถึงเขาจะไม่สามารถกินอาหารพิเศษแบบคนอื่นๆ แต่ในตอนที่เลือกวัตถุดิบนั้นก็ควรที่จะระมัดระวัง?
ไป๋หลิ่วถาม “อาจารย์ฉีทำไมมาอีกแล้วล่ะ?ไม่เชื่อถือในฝีมือการทำอาหารของฉันเหรอ?ทำอย่างกับไม่เคยกิน”
ฉี่เติ่งเสียนหัวเราะขึ้นแล้วพูด “ช่วงนี้อยากเรียนทำอาหารพอดี ดังนั้นจึงอยากมาดูให้เยอะๆ อย่าใส่ใจเลย”
ไป๋หลิ่วกล่าว “อย่างนั้นฉันก็ยินดี หรือไม่อย่างนั้นคุณก็มาเป็นลูกศิษย์ฉันสิ!”
ฉี่เติ่งเสียนทำได้แค่ยิ้ม เขากับไป๋หลิ่วนั้นมีบุญคุณความแค้นต่อกัน ดังนั้นแน่นอนว่าจะไม่ไว้วางใจสิ่งที่เขาได้ยินแล้วออกไปดื่มชาอย่างสบายใจได้
ฉี่เติ่งเสียนจะคอยคุมให้ไป๋หลิ่วกับคนอื่นๆ ทำอาหารจนเสร็จ สำหรับจานสุดท้ายเป็นเมนูที่หยางกวนกวนสั่งมาโดยเฉพาะก็คือไก่ตุ๋นสองปีครึ่งต้มกับปลาหมึกสด
รอจนเมนูสุดท้ายทำเสร็จแล้วก็ไม่เห็นว่ามีปัญหาอะไร ฉี่เติ่งเสียนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งใจออกมา
เขาก็ยังเข้าใจความคิดของไป๋หลิ่วที่ต้องการจะทำให้เขานั้นเป็นกังวลขึ้นมา
ฉี่เติ่งเสียนทำได้เพียงดูไป๋หลิ่วแต่ถึงมองออกแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ถ้าบอกว่ามองออกเธอก็คงไม่ยอมรับ อีกทั้งยังอาจจะทำให้เขาดูเหมือนคนใจแคบ
สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนทำเธอตาบอด แต่เธอกลับยังสามารถมีอารมณ์ขัน มันไม่มีอะไรที่ล้ำเส้นเกินไปหรอก?
“เอ๋ หวงชงล่ะ?ทำไมไม่เห็นเจ้านั่นเลย?” ฉี่เติ่งเสียนกลับมาที่ห้องโถงแล้วถามขึ้น
“หลังจากที่เสร็จธุระเเล้ว เขาก็บอกว่าจะไปวัดเพื่อขอพร” หยางกวนกวนกล่าว
ฉี่เติ่งเสียนตะลึงแล้วกล่าว “ทำไมเขาถึงไปวัดเพื่อขอพรล่ะ?”
เมื่อคนสุดท้ายมาถึง ก็ได้เวลาเริ่มรับประทานอาหาร อาหารเลิศรสต่างก็ถูกนำมาเสริฟบนโต๊ะ
ไป๋หลิ่วเป็นคนสุดท้ายที่ออกมาจากครัว มือของเธอได้ถือหม้อตุ๋นอยู่ จากนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า ซุปไก่มาแล้ว!”
หลังจากที่ฉี่เติ่งเสียนได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว แม้ว่าเขาจะรู้ว่าไป๋หลิ่วแค่แกล้งเขาเล่น แต่ก็ยังคงยากที่จะวางใจได้……
“เฮ้ คุณไม่ใช่ว่าชอบกินซุปไก่ตุ๋นปลาหมึกหรอกเหรอ?วันนี้ทำไมไม่ยอมกินเลย?” หยางกวนกวนสังเกตุเห็นว่าฉี่เติ่งเสียนไม่กินเมนูนั้นเลย ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
“กินจนเบื่อแล้ว” ฉี่เติ่งเสียนพูดอย่างไร้อารมณ์
หลังจากที่ไป๋หลิ่วได้ยินก็คิดว่าน่าขำมาก ในใจนั้นเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
หลังจากที่ได้ดื่มเหล้าสามรอบ กินอาหารมาแล้วห้ารสชาติ
หยางกวนกวนก็ดื่มกับหลี่เหอถูไปหนึ่งแก้ว จากนั้นพูด “ประธานสมาคมหลี่ ฉันคิดว่าถ้าหลงเหมินให้การสนับสนุนในครั้งนี้จะส่งผลดีต่อทุกคน”
หลี่เหอถูก็กล่าวว่า “แล้วมันจะดีต่อหลงเหมินอย่างไร?”
หลี่เหอถูเป็นคนที่ไม่ยอมที่จะเสียเปรียบใคร จึงยากที่จะต่อกรด้วยได้
“ชื่อของสำนักจะตั้งชื่อว่าสำนักศิลปะการต่อสู้หลงเหมินเน่ยเจียฉวน คิดว่าเป็นอย่างไร?” หยางกวนกวนยิ้มแล้วถามกลับ
“อืม?” หลังจากที่หลี่เหอถูได้ฟัง ก็ตกตะลึง จากนั้นหรี่ตาลงแล้วครุ่นคิด
หากแค่หยางกวนกวนคนเดียวมาใช่ชื่อนี้ หลี่เหอถูคงไม่ได้อยากจะพูดอะไร อีกทั้งอาจจะถามกลับไปว่า มีสิทธิ์อะไรมาใช้คำว่าหลงเหมิน!
แต่ว่าเบื้องหลังของหยางกวนกวนคือใครนั้น หลี่เหอถูก็รู้อยู่แก่ใจ
อีกทั้งหลี่เหอถูบอกว่าสนใจลงทุนกับหยางกวนกวนนั้น ไม่สู้บอกว่าต้องการลงทุนกับฉี่เติ่งเสียนจะดีกว่า
ท้ายที่สุดแค่เพียงมีฉี่เติ่งเสียนอยู่ อย่างนั้นอนาคตของสำนักศิลปะการต่อสู้คงจะไม่สามารถประเมินได้แน่นอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง
ตั้งแต่ตอนที่ 217 ถ้าไม่อัพให้เต็มตอนก็คงต้องเลิกอ่านถาวรแล้ว...
อัพอีกวันไหนคะรับ...
ตอนละ6/7บรรทัด อัพใหม่ที...
ข้อความหายอีกแล้วครับ 280-284...
คนอัพไม่ดูเลยเหรอครับมันมาไม่กี่บรรทัดเอง...
ขาดตอนเลยครับ เนื้อหาไม่ครบแบบนี้...
ทำไมแต่ละตอนมันสั้นจัง...
253-264 ทำไมสั้นจังครับ...
ถ้าอัพมาแค่4, 5บรรทัดเลิกอัพเถอะ...
242 - 246 ข้อความขึ้นไม่ครบครับ...