มังกรผู้ทรงพลัง นิยาย บท 1926

เรื่องต่าง ๆ ทั้งหมดที่หนานหยางล้วนกำลังค่อย ๆ เดินไปตามแบบแผน อำนาจของตระกูลเฉินได้ถูกเฉินหยูควบคุมไว้หมดแล้ว

คนเหล่านั้นที่อยู่ในตระกูลเฉินเห็นว่าเมื่อสถานการณ์สงบลงแล้ว ก็อยากเอาอำนาจกลับไป แต่ว่าเล่ห์เหลี่ยมของเฉินหยูกลับใช่ว่าคนทั่วไปจะเปรียบเทียบได้ การที่เธอได้มีอำนาจอยู่ในมือ จะสามารถเอากลับไปได้อย่างง่ายดายงั้นเหรอ

เรื่องนี้ไม่ต้องให้ฉีเติ่งเสียนออกมือ เพียงแค่เฉินหยูคนเดียวก็สามารถจัดการพวกเขาได้อย่างสบาย ๆ

ที่หนานหยางได้ผ่านการแก้ไขร่างกฎหมายฉบับใหม่ทั้งหมดและออกโดยรัฐบาลเฉพาะกาลเรียบร้อยแล้ว โดยการออกใช้ร่างกฎหมายและนโยบายเหล่านี้ จึงทำให้รัฐบาลเฉพาะกาลได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมาก

แต่เฉินหยูที่รับบาทบาทเป็นบอสใหญ่อยู่เบื้องหลัง เธอดำเนินการนโยบายอย่างเป็นระเบียบ ปรับปรุงแก้ไขกฎกติกาการเล่นเกมที่หนานหยาง แถมยังค่อย ๆ ผ่อนปรนอำนาจทคี่อยู่ในมือของเธอ

สวีเอ้าเสวี่ยก็ได้เข้าร่วมร่างกฎหมายฉบับใหม่ แถมยังได้เสนอแนวทางและความคิดเห็นของตนเองที่มีประโยชน์มาก จึงทำให้การออกร่างกฎหมายใหม่ฉบับนี้ได้รับความสมบูรณ์ มากพอที่จะได้รับการยอมรับจากประชาชนมากขึ้น

มีแค่ฉีเติ่งเสียนที่รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้แพ้ เขามีหลักการทั่วไปมากมายที่สามารถแสดงออกมาได้หลากหลายวิธี และเขาสามารถบรรลุความเป็นเลิศทั้งทางวรรณกรรมและศิลปะได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถแยกรายละเอียดเหล่านั้นออกเป็นรายการที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจงได้

ฉีเติ่งเสียนดูท่าแล้วธุระที่นครรัฐวาติกันทางนั้นคงล่าช้าอีกต่อไม่ได้แล้ว ยอมที่จะทิ้งการแช่ออนเซ็นที่จิ่วเฮิงทั้งวัน เพื่อพาสวีเอ้าเสวี่ยไปยังเทียนจู่กั๋ว

ความสัมพันธ์ระหว่างสวีเอ้าเสวี่ยกับเขายังคงดีอยู่ แต่ความรู้สึกที่ไม่มีทางไขว่คว้าแบบนั้นกลับยังหลงเหลืออยู่

ขณะที่นั่งเที่ยวบินจากหนานหยางไปยังแผ่นดินใหญ่แห่งทวีปยุโรป สวีเอ้าเสวี่ยรู้สึกว่าเรื่องราวหลายวันมานี้ก็มีความหมายอยู่บ้างที่ได้เข้าร่วมการออกนโนยบายและการแก้ไขร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่หนานหยาง แต่ว่าเธอยังรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ชีวิตที่เธอต้องการ

ทั้งสองนั่งเครื่องบินไปถึงอังกฤษ หลังจากนั้นได้ต่อเครื่องที่อังกฤษเพื่อไปเทียนจู่กั๋วต่อ

ซึ่งเป็นการเดินทางที่เหนื่อยตลอดทางจริง ๆ

เมื่อก่อนสวีเอ้าเสวี่ยเคยมาเรียนที่ยุโรป แต่ว่าไม่เคยไปเทียนจู๋กั๋วมาก่อน และไม่เคยเห็นนครรัฐวาติกันที่ยิ่งใหญ่นั้นมาก่อน

วินาทีนั้นที่เริ่มเข้าสู่นครรัฐวาติกัน ในใจเธอรู้สึกมหัศจรรย์ใจมาก บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยพระพุทธศาสนานั้น กลิ่นอายประวัติศาตร์ที่รุนแรงนั้น อารมณ์ของเทพเจ้าหุ้นนั้นไม่อาจล่วงละเกินได้ ทั้งหมดนี้เน้นย้ำถึงความพิเศษและความเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มอาคารขนาดใหญ่นี้

ฉีเติ่งเสียนสวมชุดสำหรับพระอัครสังฆราชและเดินอยู่เคียงข้างเธอ รับหน้าที่เป็นไกด์อธิบายสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เหล่านี้รวมทั้งวิธีการใช้งานให้กับเธอ

อยู่ที่นี่สวีเอ้าเสวี่ยรู้สึกถึงความเงียบสงบที่ไม่เคยมีมาก่อน มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากความรู้สึกที่เธอมีเมื่อเธอละทิ้งความเกลียดชังไป

มนุษย์จำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้าเพื่อให้วิญญาณของพวกเขาได้รับความสบายใจและไม่หลงผิดไป อย่างไรก็ตาม ศาสนาบางศาสนาก็ชั่วร้าย และแม้แต่ประเทศทั้งประเทศก็ชั่วร้ายและสกปรก สวีเอ้าเสวี่ยคิดในใจว่า “มีเพียงศาสนาที่สอนให้ผู้คนเป็นคนดีเท่านั้นถึงเป็นศาสนาที่แท้จริง”

อีกทั้งสวีเอ้าเสวี่ยยังพบว่าชื่อเสียงของฉีเติ่งเสียนตอนที่อยู่นครรัฐวาติกันราวกับว่าสูงส่งมาก นักบวชทุกคนที่เดินผ่านต่างก็ทักทายเขาด้วยความเคารพ

"สาวงามผู้นี้เป็นใครจากไหนกัน ดูเหมือนว่าเป็นหญิงสาวคนที่สามที่พระอัครสังฆราชพามาที่นครรัฐวาติกัน......"

"พระอัครสังฆราชยังคงตามหาความรักอยู่หรือไม่ ขอให้พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเขา ขอให้เขาสามารถตามหาหญิงสาวที่ตนเองต้องการมากที่สุดในเร็ววัน"

“พระอัครสังฆราชช่างเป็นคนที่รักฝังใจจริง ๆ แม้ว่าเขาจะเจ็บปวดจากความรักมาหลายครั้งมากเท่าใด แต่เขาก็ยังคงโหยหาความรักอยู่”

"ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพระอัครสังฆราชเจ็บปวดจากความรัก"

"ไร้สาระ เมื่อก่อนพระอัครสังฆราชเคยพาหญิงสาวสองคนมาที่นี่ ครั้งนี้เปลี่ยนผู้หญิงอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าถูกทำให้เสียใจ เลิกกันแล้ว! แต่เขายังคงยอมพาคนมาด้วย นี่ก็พิสูจน์ความรักที่ลึกซึ้งของเขามากพอแล้ว"

ครั้งนี้ฉีเติ่งเสียนได้กำจัดศาสนาอาบา ความกังวลอันใหญ่หลวงนี้ ทำให้พระสันตะปาปามองเขาด้วยความสบายตามากยิ่งขึ้น

“เรื่องราวครั้งนี้ ท่านจัดการได้ดีเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่กำจัดศาสนาอาบาได้ แถมยังส่งเสริมศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราที่หนานหยางอีกด้วย เป็นศาสนาที่เอาความรักเป็นที่ตั้ง ปกป้องผู้คนที่น่าสงสารมากขนาดนี้ ทำให้ชื่อเสียงศาสนาของเราเป็นที่รู้จักต่อประชาคมระหว่างประเทศมากขึ้น! ในช่วงระยะเวลานี้พวกเราได้รับลูกศิษย์เพิ่มมากขึ้น” พระสันตะปาปามองฉีเติ่งเสียนและลูบเคราตรัสชื่นชมเขา

เขายิ่งรู้สึกว่ามองเจ้าเด็กหนุ่มนี่สบายตามากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ทำเงินได้เท่านั้น แถมยังช่วยพัฒนาศาสนาศักดิ์สิทธิ์ให้เข็มแข็งมากขึ้นด้วย

ไม่เอ่ยถึงเรื่องอื่น พูดถึงเรื่องความสามารถในการหาเงิน บุคคลภายในศาสนาศักดิ์สิทธิ์มีคนไหนบ้างที่สู้ฉีเติ่งเสียนได้งั้นเหรอ พวกเขาแต่ละคนต่างรู้จักเพียงขอเงินไปพัฒนาเท่านั้น ฉีเติ่งเสียนเขาพรางหารายได้ไปด้วย ทั้งพัฒนาได้ดีมากขนาดนี้ด้วย!

นี่คืออะไร นี่คืออัจฉริยะบุคคลขั้นเทพไงล่ะ!

ฉีเติ่งเสียนกล่าวด้วยสุขุมว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมเพียงแต่ดำเนินตามทางของพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์และพระประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์เท่านั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นพระกรุณาของพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ และการเป็นผู้นำของพระองค์ กระหม่อมไม่กล้ารับความดีความชอบทั้งหมดไว้คนเดียวหรอกพะยะค่ะ”

การเป็นประชาชนของเมืองหัวกั๋ว การนอบน้อมถ่อมตนสมควรฝังอยู่ในกระดูก ตัวอย่างเช่นพระสังฆราชตอนนี้

เขาไม่ได้ประจบสอพลอแต่เป็นเพราะว่าความนอบน้อมถ่อมตน

เมื่อพระสันตะปาปาได้ทรงรับฟัง ก็หัวเราะฮาฮาฮาเสียงดัง ดูสิว่า อะไรคืออัจฉริยะบุคคล นี่แหละคืออัจฉริยะบุคคล เขาทั้งทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดี ทั้งพูดจาน่าฟัง

ผู้ช่วยก็ยกนิ้วโป้งชื่นชมฉีเติ่งเสียน

เมื่อพระสันตะปาปาแย้มพระสรวลแล้วก็ทรงกระแอม พระองค์ทรงสำรวมอารมณ์แล้วตรัสกับฉีเติ่งเสียนว่า “แต่เรา มีคำถามหนึ่ง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง