พูดอย่างจริงจัง นี่คือเดทแรกระหว่างฉีเติ่งเสียนกับเฉียวชิวเมิ่ง
ฉีเติ่งเสียนเองก็ไม่ได้มีความเห็นใดๆ การเดินช็อปปิ้งหรือการดูหนังนู่นนี่ก็ไม่น่าสนใจ ดังนั้นเขาจึงพาเธอไปซื้อของกินเล่นกับพรมหนึ่งผืนที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วจึงขับไปที่ชายหาด
ปูพรมลงบนหาดทราย นำของกินเล่นมาวาง เพลิดเพลินไปกับลมทะเลและแสงแดดอบอุ่นในยามบ่ายอันเงียบสงบ
“นายพัฒนาแล้ว” เฉียวชิวเมิ่งเอ่ยและอดยิ้มไม่ได้
“พัฒนาอะไร” ฉีเติ่งเสียนถามอย่างสงสัยเล็กน้อย
“มีครั้งหนึ่งตอนที่นายยังเด็ก นายพาฉันออกไปข้างนอกแต่ไม่รู้จะไปที่ไหน นายก็เลยเลือกสุสานวีรชน” เฉียวชิวเมิ่งอดหัวเราะไม่ได้
“แค่กๆๆ...” ฉีเติ่งเสียนไอแห้งๆ หลายที
นั่นมันไม่ใช่การเดินเกมที่ยอดเยี่ยม แต่เป็นการเดินเกมที่โง่มาก ตอนนี้คิดๆ ดูแล้วก็ยังรู้สึกกระดากอยู่เลย ก็ใครบ้างจะพาผู้หญิงออกไปเที่ยวที่สุสานวีรชน?
ดูเหมือนเรื่องนี้จะสร้างความประทับใจให้กับเฉียวชิวเมิ่งอย่างตราตรึง แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรมันก็เป็นการกระทำที่โง่เขลามากเกินกว่าที่คนปกติจะคิดได้
เฉียวชิวเมิ่งอาบแดดจนรู้สึกเอื่อยเฉื่อย เธอถือโอกาสถอดรองเท้าออก งอขาเข้ามาและโน้มตัวเข้าหาช้าๆ
ฉีเติ่งเสียนที่ตอนนี้เรียกได้ว่ามีอีคิวสูงแล้วย่อมไม่ต้องรอให้หญิงสาวเป็นฝ่ายเอ่ยปาก เขาเอื้อมมือไปโอบไหล่เธอและดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนทันที
ขาอันเรียวยาวในถุงน่องสีเนื้อของเฉียวชิวเมิ่งอยู่ภายใต้แสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ สว่างด้วยแสงอบอุ่น ราวกับอยากจะให้ฉีเติ่งเสียนลองดู ว่าขานี้มองดูแล้วรู้สึกสบายเหมือนกับการสัมผัสหรือไม่
“นายยังคิดจะกลับไปเมืองหลวงอยู่ใช่ไหม ฉันจำได้ นายเคยบอกว่าจะนำสิ่งที่สูญเสียไปทั้งหมดกลับคืนเป็นเท่าทวี” เฉียวชิวเมิ่งถามอย่างเกียจคร้าน
“ใช่ แต่ก่อนหน้านั้น ฉันจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ก่อน” ฉีเติ่งเสียนยิ้มน้อยๆ และเอื้อมมือไปป้องที่หน้าผากของเธอ กันไม่ให้แสงอาทิตย์ส่องกระทบดวงตา
ในตอนนั้นฉีปู้อวี่ดุดันโหดร้ายและมีลูกบ้ามากพอ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเอาชนะพลังอำนาจนั้นไม่ได้ สุดท้ายก็จนมุม ทั้งตระกูลฉีต้องขับไล่สองพ่อลูกออกมา
ฉีเติ่งเสียนรู้สึกว่าเขาควรจะพยายามให้มากยิ่งกว่าพ่อของเขา ในเมื่อทุ่มเทขนาดนี้แล้ว เขาย่อมต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าพ่อ
บางทีอาจจะอีกไม่กี่ปี เขาอาจจะกลับไปที่เมืองหลวงอย่างสง่าผ่าเผย จากนั้นก็ทำให้พวกที่เคยกลั่นแกล้งพวกเขาชดใช้ในสิ่งที่สมควรได้รับ!
เฉียวชิวเมิ่งกล่าวว่า “มันคงอันตรายมากเลยใช่ไหม ตอนนั้นแม้แต่ตระกูลฉีก็ยังประนีประนอม”
ฉีเติ่งเสียนเพียงแต่บอกว่า “ไม่มีลูกคนไหนไม่ต้องการแม่ พวกนั้นบังคับให้เราต้องแยกจากกัน ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจแล้วว่าจะต้องกลับไป!"
เฉียวชิวเมิ่งถอนหายใจเบาๆ อันที่จริงเธอรู้เรื่องของฉีเติ่งเสียนมามากพอสมควร ดังนั้นบางครั้งเธอจึงอดเห็นใจเขาไม่ได้
“หืม? ทำไมขาเธอถึงเปื้อนทรายเยอะขนาดนั้น มา เดี๋ยวช่วยปัดให้” ฉีเติ่งเสียนเอ่ยขึ้นอย่างฉับพลันและยื่นมือใหญ่ออกมาโดยอัตโนมัติ
โห... ต้นขาให้ความรู้สึกยืดหยุ่น ถุงน่องคุณภาพสูงเรียบเนียนและเป็นมิตรกับผิว การมองกับการสัมผัสแทบไม่แตกต่างอะไรกันเลย
ในขณะนั้น ฉีเติ่งเสียนได้ขจัดปัญหาที่รบกวนจิตใจของเขามานานนับศตวรรษตั้งแต่ตอนที่เฉียวชิวเมิ่งถอดรองเท้าและเอนกายลงมาแล้ว
เฉียวชิวเมิ่งกลอกตาเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ เธอจับมือของฉีเติ่งเสียนกดลงบนต้นขาของเธอ จากนั้นจึงขยับตัวขึ้นมาและจู่โจมที่ริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็ว
เฉียวชิวเมิ่งรุกเข้าหาอย่างกระตือรือร้นมากไปหน่อย ทำให้ฉีเติ่งเสียนถูกกดไว้จนแทบจะขาดอากาศหายใจ พลังปอดของเขามีไม่เพียงพอสำหรับการจูบงั้นหรือ?
“แค่กๆๆ การควบคุมของเธอแย่ลงหรือเปล่า” ฉีเติ่งเสียนสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงและถามทั้งยังหอบหายใจ
“กลัวอะไร คนรักกันมาตั้งนาน!” เฉียวชิวเมิ่งเอ่ยออกมาอย่างห้าวหาญ ทว่าใบหน้ากลับแดงก่ำ
ฉีเติ่งเสียนยิ้มอย่างขมขื่น รักกันมาตั้งนาน แต่จนกระทั่งถึงเวลาหย่าร้าง ระหว่างทั้งสองต่างดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
ตรงกันข้าม การหย่าร้างทำให้มีบางอย่างไม่เหมือนเดิม มันทำให้คนเรารู้สึกอนาคตยังมีความหวังแม้ในยามทุกข์ เทพีแห่งโชคชะตาสาวแอ๊บแบ๊วมักจะชอบพูดตลกร้ายแบบนี้กับคนอื่นเสมอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง
ตั้งแต่ตอนที่ 217 ถ้าไม่อัพให้เต็มตอนก็คงต้องเลิกอ่านถาวรแล้ว...
อัพอีกวันไหนคะรับ...
ตอนละ6/7บรรทัด อัพใหม่ที...
ข้อความหายอีกแล้วครับ 280-284...
คนอัพไม่ดูเลยเหรอครับมันมาไม่กี่บรรทัดเอง...
ขาดตอนเลยครับ เนื้อหาไม่ครบแบบนี้...
ทำไมแต่ละตอนมันสั้นจัง...
253-264 ทำไมสั้นจังครับ...
ถ้าอัพมาแค่4, 5บรรทัดเลิกอัพเถอะ...
242 - 246 ข้อความขึ้นไม่ครบครับ...