นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร นิยาย บท 11

“จิ่นเอ๋อร์ละอายใจยิ่งนัก ข้าไม่อาจเทียบน้องหญิงทั้งสองคนได้ จึงไม่อาจอวดอ้างอันใด !”

มู่หรงจิ่นรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นนางจึงลุกยืนขึ้นแล้วกล่าวขอโทษอย่างใจเย็น

“โอ้ ! เจ้าก็รู้ว่าที่นี่คือที่ใด หากยังทำได้ไม่ดีพอ เจ้าก็แค่ท่องบทกวีให้มากขึ้นก็เท่านั้น !”

ขณะนี้มู่หรงผิงที่ดื่มสุราเข้าไปจำนวนหนึ่งและเริ่มเมามายเล็กน้อยกล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จิ่นเอ๋อร์จะบรรเลงเพลงให้ท่านผู้อาวุโสทุกท่านฟังก็แล้วกันเจ้าค่ะ !”

แม้มู่หรงจิ่นจะเผยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย ทว่าในใจของนางกลับไม่มีแรงกดดันแม้แต่น้อย

นางเคยเรียนเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนตอนเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษา ดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอิทธิพลในการเรียนหรือไม่ นางจึงสนใจวัฒนธรรมโบราณไปด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นอาชีพนักฆ่าเป็นอาชีพหลักของมู่หรงจิ่น นางจึงได้รับใบรับรองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่นกู่เจิ้งระดับสิบและผีผาระดับสิบก่อนอายุครบสิบหกปีบริบูรณ์

เมื่อครู่นางเพิ่งได้ฟังการบรรเลงกู่เจิ้งของมู่หรงเหยา แม้ทักษะการเล่นของนางจะแตกต่างจากปัจจุบัน แต่โดยพื้นฐานแล้วคล้ายคลึงกันไม่น้อย หากวัดจากทักษะในการบรรเลงแล้ว ฝีมือของมู่หรงเหยาอาจจะอยู่ที่ประมาณระดับแปด

เนื่องจากมู่หรงเหยาบรรเลงกู่เจิ้งไปแล้ว นางจึงไม่อาจเล่นมันซ้ำได้ มิฉะนั้นอาจกระตุ้นความสงสัยของคนอื่น ๆ จนเกิดการเปรียบเทียบว่าจะมีผู้ใดบรรเลงเพลงกู่เจิ้งได้ดีกว่ามู่หรงเหยาได้อย่างไร ?

“หืม ? จิ่นเอ๋อร์จะเล่นกู่เจิ้งรึ ? แล้วจะบรรเลงเพลงอะไรเล่า ?”

อานซิ่วอิ๋งสังเกตเห็นว่าคนอื่น ๆ ไม่สนใจและมีท่าทีสงสัยในตัวมู่หรงจิ่น นางจึงเริ่มบทสนทนาเพราะต้องการให้อีกฝ่ายชื่นชมตนเองและตระหนักว่าตนเองมีคุณค่ามากขึ้น เพื่อที่ในภายภาคหน้าการแต่งงานระหว่างมู่หรงจิ่นและอ๋องเยี่ยนในฐานะสนมจะง่ายดายมากขึ้น

“ไม่เจ้าค่ะ จิ่นเอ๋อร์ไม่เชี่ยวชาญการเล่นกู่เจิ้ง จิ่นเอ๋อร์ตั้งใจจะเล่นผีผาและก็ไม่รู้ว่ามันชื่อเพลงอะไร แต่ข้าได้ยินจากแม่นมหลีว่ามันคือเพลงที่ท่านแม่โปรดปรานก่อนที่นางจะเสียชีวิต”

ขณะที่มู่หรงจิ่นกล่าวอยู่นั้น เสี่ยวหลิงก็เดินเข้ามาภายในห้องพร้อมผีผาในมือ ซึ่งผีผาตัวนี้เป็นสมบัติของเสี่ยวหว่านชิงขณะที่นางยังมีชีวิตอยู่ มู่หรงจิ่นไม่คาดคิดว่าตนและเสิ่นหว่านชิงจะมีงานอดิเรกเหมือนกัน !

“หึ อย่าทำให้แม่ของเจ้าขายหน้าล่ะ !”

เมื่อมู่หรงเซิ่งเห็นมู่หรงจิ่นถือผีผาของเสิ่นหว่านชิง สายตาของเขาพลันฉายความรังเกียจและอารมณ์ซับซ้อนมากมายที่มีต่อมู่หรงจิ่น

มู่หรงจิ่นเมินเฉยต่อคำพูดของมู่หรงเซิ่งและปรับท่านั่งให้สะดวกสบายพลางปรับสายผีผา จากนั้นหลับตาเพื่อนึกถึงโน้ตเพลง ‘ขอให้มีชีวิตยืนยาว’

วันนี้คือวันไหว้พระจันทร์ ดังนั้นจึงไม่มีเพลงใดเหมาะสมไปกว่าเพลงนี้อีกแล้ว

เพลง ‘ขอให้มีชีวิตยืนยาว’ เป็นผลงานเพลงในยุคปัจจุบัน หากบอกไปตรง ๆ ผู้คนจะยิ่งเกิดความสงสัยอย่างแน่นอน นางจึงไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อเพลงนี้ให้เข้ากับยุคสมัยอย่างไรดี

มู่หรงจิ่นจับประคองตัวผีผาเอาไว้ จากนั้นใช้มือขวาดีดสายของมันช้า ๆ ขณะบรรเลงอยู่นั้น มู่หรงจิ่นไม่ได้สวมปลอกนิ้ว เนื่องจากนางไม่เคยสวมมันตั้งแต่เริ่มเรียน ทั้งยังคุ้นเคยกับการบรรเลงผีผาด้วยมือเปล่ามานานแล้ว

แรงเสียดทานระหว่างปลายนิ้วกับสายผีผา ทำให้เกิดเสียงคมชัดและไพเราะดังไปถึงหูของทุกคนที่อยู่ที่นั่น

แตกต่างจากเสียงของกู่เจิ้งโดยสิ้นเชิง เนื่องจากผีผามีเสียงใสกังวานกว่า ซึ่งน่าฟังและจรรโลงใจอย่างยิ่ง

มู่หรงจิ่นใช้มือทั้งซ้ายและขวาบรรเลงท่วงทำนองลึกซึ้งและนุ่มนวล ด้วยทักษะการดีดสายผีผาอันยอดเยี่ยม

จังหวะการเล่นผีผาคมชัดอย่างยิ่ง ท่วงท่าการดีดสายผีผาอันสง่างามทำให้คนอื่น ๆ ไม่สามารถละสายตาได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างจ้องมองนิ้วเรียวงามราวต้นหอมของมู่หรงจิ่นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่ท่วงทำนองหมุนวนไปมาราวกับสายฝนชโลมใจ

ทุกคนต่างจ้องมองมู่หรงจิ่นที่นั่งอยู่ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง ใบหน้าของนางงดงามยิ่งนัก ดวงตาคู่งามที่โผล่พ้นผ้าคลุมหน้าราวกับดอกท้อบานสะพรั่ง เพียงมองแวบเดียวก็ทำให้หัวใจคนผู้นั้นเต้นไม่เป็นระส่ำได้

ทว่านางไม่รู้ตัวเลยว่าขณะที่กำลังบรรเลงผีผาอยู่นั้น สายลมอ่อน ๆ ในฤดูใบไม้ร่วงพลันลอยโชยมาพัดพาชุดของนางให้พลิ้วไสวซึ่งมันทำมู่หรงจิ่นงดงามยิ่งกว่าเทพธิดาในนิยายเสียอีก !

ท่วงทำนองเพลงนุ่มนวลอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่มาพร้อมกับสายฝนปรอยๆ เมื่อเพลงใกล้จะจบ มู่หรงจิ่นก็เงยหน้ามองดวงจันทร์สุกสกาวบนท้องฟ้า ทันใดนั้นเสียงอันคมชัดก็ดังมาจากใต้ผ้าคลุมหน้าของนาง

“ขอให้ผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันเพียงใด เราก็จะยังร่วมชมจันทร์ไปด้วยกัน”

ขณะเอ่ยคำสุดท้าย มู่หรงจิ่นใช้มือขวาดีดสายผีผา ขณะใช้มือซ้ายกดสายเอาไว้ ไม่นานเสียงผีผาก็เงียบลงทำให้ลานกว้างหลังเรือนมู่หรงตกอยู่ในความเงียบงัน

จากนั้นมู่หรงจิ่นก็เงยหน้ามองผู้คนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีอ่อนช้อย ทุกคนล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงเมื่อเสียงดนตรีหยุดลงและนั่งนิ่งราวกับตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง

“หึ มีเพียงศิลปินเท่านั้นที่สามารถบรรเลงผีผาได้ !”

เนื่องจากผู้อื่นไม่มีความรู้เรื่องดนตรี มู่หรงซินจึงสามารถวิเคราะห์เรื่องนี้ได้รวดเร็วกว่าคนอื่น ๆ หลังจากมองดูปฏิกิริยาโง่เขลาของคนที่เหลือแล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเย้ยหยัน

มู่หรงเหยาก็มีปฏิริยาแตกต่างจากคนอื่นเช่นกัน ใบหน้าของนางเหยเกเสียยิ่งกว่าตอนที่ได้ยินฮูหยินเฒ่ามู่หรงประกาศเรื่องการแต่งงานระหว่างมู่หรงจิ่นและอ๋องเยี่ยนเสียอีก !

มู่หรงจิ่นเชี่ยวชาญการบรรเลงผีผาตั้งแต่เมื่อใด ? แถมยังเล่นได้ไพเราะเพียงนี้ ? ข้าเกือบจะเคลิบเคลิ้มไปแล้วเชียว

มู่หรงเหยากำมือแน่นจนเล็กจิกเข้าไปในเนื้ออย่างแรง ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่รู้ตัวและยังคงจ้องเขม็งไปที่มู่หรงจิ่นด้วยดวงตาดุร้ายราวกับนกเฟิ่งหวง

“เพลงนี้ไพเราะดังอยู่บนสวรรค์ จะสามารถหาฟังจากที่ใดบนโลกนี้ได้อีก ?”

หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงผิงก็รู้สึกราวกับว่าตนหลุดออกจากภวังค์ก่อนพึมพำกับตนเอง

มู่หรงผิงยกจอกสุราขึ้นพลางหันไปกล่าวกับมู่หรงเซิ่ง

“พี่ชาย ข้าไม่คิดเลยว่าจิ่นเอ๋อร์จะมีทักษะการบรรเลงผีผาที่น่าทึ่งเช่นนี้ ! ท่วงท่าในช่วงท้ายของเพลง นางเล็งไปกลางสายผีผาและดีดสายทั้งสี่เส้นทำให้เกิดเสียงคมชัดราวกับจะฉีกทึ้งผ้าไหมให้ขาดวิ่น ! จิ่นเอ๋อร์มีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ท่านอย่าทอดทิ้งไข่มุกล้ำค่าเม็ดนี้เชียวล่ะ !”

หลังจากกล่าวจบ มู่หรงผิงก็ยกจอกสุราขึ้นดื่ม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นวลชายาหยกงามของท่านอ๋องจอมมาร