ร้านบาร์อยู่ตรงข้ามนี่เอง ตกแต่งหรูหรา ต่างจากบาร์กลางคืนทั่วไป
บนผนังมีตู้หนังสือที่วางหนังสือไว้มากมาย
เคอเหม่ยซูสั่งเหล้านำเข้าจากต่างประเทศมาหนึ่งขวด ไม่คิดจะสั่งเหล้าค็อกเทลเลย
ฉันแค่เห็นก็ขนลุกแล้ว ฉันเป็นคนคออ่อน เหล้าแบบนี้แค่แก้วเดียวฉันก็น๊อคแล้ว
เคอเหม่ยซูรินให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ไม่ได้ให้ฉัน “คุณดื่มน้ำผลไม้แล้วกัน ไม่งั้นเมาขึ้นมาจะทรมานมาก”
คนอื่นไม่บังคับให้ฉันดื่ม ฉันกลับรู้สึกเกรงใจ จึงรินเหล้าให้ตัวเองอีกแก้ว
“ฉันเป็นคนคออ่อน ดื่มเป็นเพื่อนคุณนิดหน่อยก็พอ”
เธอยกแก้วขึ้น ก่อนจะแหงนหน้าแล้วยกแก้วกระดกเข้าปากไปกว่าครึ่ง
ฉันตกตะลึง ดีกรีเหล้าวิสกี้สูงมาก ความเมาที่จะถามหาจึงไม่ต้องพูดถึง ฉันห้ามเธอ “ไม่ดื่มเร็วแบบนี้สิค่ะ เดี๋ยวจะเมาเอา”
“เมาก็ดีค่ะ จะได้ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน” เธอยิ้มให้ฉัน
ฉันสั่งกับแกล้มมาสองสามอย่าง เธอหยิบเส้นปลาหมึกแห้งแล้วเคี้ยวเนือยๆ
ฉันจิบเหล้าทีละนิด รสชาติไม่น่ารับประทานเลย ขมมาก
ฉันคิดว่าสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ดื่มเหล้า ไม่ใช่เพราะมันอร่อย แต่ต้องการผลพลอยได้จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ต่างหาก เมื่อเหล้าลงท้อง สมองก็จะมึนๆ เบลอๆ ลืมความทุกข์ในปัจจุบันไป
แต่ถึงจะเมาเพียงใด ไม่นานก็จะสร่างเมา และเมื่อหายเมา ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นฉันจึงไม่กล้าดื่มเหล้า เพราะมันไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหา
ท่าทางการดื่มของเคอเหม่ยซูน่ามองมาก เพราะหน้าตาเธอสวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทั้งยังพูดจาอ่อนโยน เอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย
ตอนที่เดินผ่านถนนเมื่อกี้ เธอให้ฉันเดินด้านใน และเตือนฉันว่าด้านหน้ามีรถมาแล้ว ต้องเลี้ยวแล้วเดินเร็วๆ หน่อย
ฉันรู้สึกถูกชะตากับเคอเหม่ยซูมาก ฉันนึกถึงภาพเธอแต่งงานกับป๋ออวี่แล้วก็เห็นภาพเธอเป็นภรรยาที่รันทดมาก
“คุณนายสีคะ” เธอเรียกฉันเสียงอ่อนโยน
“เรียกฉันว่าเซียวเซิงก็พอค่ะ” ฉันกล่าว
“เซียวเซิง” เสียงของเธอเพราะมาก และเมื่อประสานกับเสียงดนตรีเบาๆ ของร้านแล้วก็เหมือนกำลังฟังเพลงอยู่อย่างไรอย่างนั้น มันไพเราะเพราะพริ้งมาก “คุณรู้ไหม เมื่อก่อนฉันดื่มไม่เก่งเลย แต่หลังจากที่ฉันรู้จักป๋ออวี่ได้สองอาทิตย์ ฉันก็ดื่มเก่งขึ้นเยอะเลย”
ฉันจ้องเธอด้วยความอึ้ง ก่อนจะยื่นจานกุ้งฝอยให้เธอ
เธอหยิบขึ้นไปหนึ่งเส้นแล้วกัดกิน “ฉันตกหลุมป๋ออวี่ตั้งแต่แรกพบ ที่จริงฉันไม่ใช่คนที่ทันสมัยอะไร แต่ไม่รู้เพราะอะไร ฉันเห็นป๋ออวี่แวบแรกก็เหมือนตกอยู่ในเหวลึก” เธอดื่มเหล้าในแก้วจนหมดเกลี้ยง ฉันกำลังอิดออดว่าจะเทเหล้าให้เธอดีไหม ระหว่างนั้นเธอก็เทให้ตัวเองเต็มแก้ว
“ความจริงแล้วความรักก็คือหุบเหวลึก ถ้าอีกฝ่ายรักเรา งั้นก็จะกระโดดลงไปทั้งสองคน จากนั้นก็พยายามปีนขึ้นมาด้วยกัน แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่รักเรา งั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
อันนี้คือคำอธิบายเชิงสิ้นหวังกับความรักที่สุดเท่าที่ฉันเคยฟังมา ฉันจิบเหล้าต่อ ทว่าก็ยังคงดื่มยากเหมือนเดิม
“คุณกับป๋ออวี่เคยคุยกันเรื่องความรักไหม?”
“อยากคุยอยู่ แต่เขาไม่ให้โอกาสฉันคุยเลย พวกเรามีเวลาอยู่ด้วยกันไม่มาก พึ่งจะรู้จักกันแค่สองอาทิตย์เอง” เคอเหม่ยซูหมุนเหล้าในแก้ว ของเหลวสีเหลืองอ่อนๆ ด้านในแก้วเคลื่อนไหวไปตามแรงหมุน “ความรักนั้นคือความต้อยต่ำ เมื่อคนคนหนึ่งตกหลุมรักอีกคน พวกเขาก็จะไม่อยู่บนเท็มเพียวเดียวกันแล้ว ฉันรับรู้ได้ว่าป๋ออวี่ไม่รักฉัน แต่ตอนที่เขาขอฉันแต่งงาน ฉันกลับมีความสุขจนเกือบเป็นลม”
ฉันไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนั้น ฉันกำลังจินตนาการภาพตาม เธอก็ถามฉันขึ้นมาว่า “เซียวเซิง คุณรักสีชิงชวนไหม?”
“ห้ะ?” ฉันอึ้งอ้าปากพะงาบๆ
“ฉันยังไม่สนิทกับคุณ แต่ถามเกินไปหรือเปล่า?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...