ฉันไม่รู้ว่าฝีมือการขับรถของสีจิ่นยวนเป็นยังไง แต่คาดว่าพอฉันทั้งตบทั้งตีแบบนี้เขาก็เลยสติหลุดไปแล้ว
ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ได้เลี้ยวเท่านั้น เขายังขับตรงเข้าไปทางตำรวจโดยไม่เหยียบเบรกอีกด้วย
ฉันเห็นว่าตำรวจเห็นรถของพวกเราแล้ว และคิดว่าพวกเราจะชนเขาจริงๆ
ฉันกับสีชิงชวนตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นฉันก็เหยียบเข้าไปที่เท้าของเขาที่เหยียบเบรกอยู่ และในที่สุดรถก็หยุดห่างจากตำรวจออกไปไม่กี่เมตรเท่านั้น
ฉันตกใจจนเหงื่อตกไปทั้งตัว และเห็นว่าคุณตำรวจเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน หลังจากนิ่งอึ้งไปหลายวินาทีเขาก็ได้สติกลับมา และเดินเข้ามาทางรถของพวกเรา
ฉันเอนหลังพิงไปกับพนักเบาะและพึมพำกับตัวเองว่า “ตายแน่ๆ คราวนี้ตายแล้วแน่ๆ ”
“เซียวเซิง พี่ไม่เป็นไรใช่ไหม! ” สีจิ่นยวนหันมามองฉัน “เมื่อกี้ผมแทบจะอ้วกเอาบิงซูออกมาอยู่แล้ว”
ฉันรู้ว่าเขาอยากทำให้ฉันคลายความตึงเครียดลง แต่ตำรวจที่มายืนอยู่ตรงหน้าต่างในตอนนี้ทำให้ฉันเครียดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ฉันกับสีจิ่นยวนนั่งนิ่งเป็นอัมพาตอยู่บนเบาะเหมือนแมงกะพรุนสองตัว จนกระทั่งตำรวจใช้นิ้วเคาะหน้าต่างรถของพวกเรา
ฉันกับสีชิงชวนสบตากัน เขาเอ่ยกับฉันว่า “ต้องลดกระจกไหม? ”
“ถ้าไม่ลดกระจกจะขัดขืนตำรวจเหรอ? ”
สีจิ่นยวนเป็นคนขี้ขลาด เมื่อได้ฉันพูดแบบนี้เขาก็รีบลดกระจกทันที
ตำรวจขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“พวกคุณขับรถกันยังไง เกือบชนเกาะกลางถนนแล้ว ถ้าผมยืนห่างออกไปแต่ไม่กี่สิบเซนติเมตรก็คงถูกพวกคุณชนจนปลิวแล้ว ใบขับขี่”
ใบขับขี่ของฉันถูกเพิกถอนไปแล้ว จึงใช้การไม่ได้ และอีกอย่างคนที่ขับรถคือสีจิ่นยวน
ฉันหันไปมองเขา เขามองไปที่ตำรวจด้วยสีหน้าย่ำแย่ และคาดว่าตำรวจน่าจะเคยเห็นคนแบบพวกเรามาเยอะแล้ว เขาจึงไม่ได้แปลกใจ
“ไม่ได้เอามาหรือว่าไม่มี? ”
ยังดีที่สีจิ่นยวนเป็นเด็กซื่อสัตย์ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ตอบกลับไปตรงๆ “ไม่มีครับ”
“งั้นคุณล่ะ? ” เขาหันมาถามฉัน
“ฉันนั่งข้างคนขับไม่จำเป็นต้องพกใบขับขี่หรอกมั้งคะ? ”
“งั้นคุณมีหรือว่าไม่มีล่ะ? ”
ฉันเอ่ยออกไปเสียงเบาจนน่าจะมีแค่ฉันที่ได้ยิน “มีค่ะ แต่ถูกเพิกถอนไปแล้ว”
ตำรวจโกรธพวกเราจนหัวเราะออกมา และพยักหน้าแรงๆ “พวกคุณนี่ดีจริงๆ คนสองคนที่ไม่มีใบขับขี่ยังกล้ามาขับรถที่ถนนใหญ่แบบนี้ ลงจากรถแล้วตามผมไปที่หน่วยจราจร”
ในเมืองฮวาการขับรถโดยไม่มีใบขับขี่นั้นจะถูกควบคุมตัว อย่างน้อยที่สุดเป็นเวลาสามวันขึ้นไป
แต่สีจิ่นยวนกลับยึดมั่นในความเป็นธรรมมาก เขาตบหน้าอกของเขาและเอ่ยว่า “คุณตำรวจครับผมจะไปกับคุณ แต่เธอแค่นั่งข้างๆ คนขับ”
“พวกคุณสองคนมีความสัมพันธ์แบบไหนกัน? ” ตำรวจถาม
สีจิ่นยวนมองมาที่ฉันด้วยท่าทางเหมือนคนโง่เขลา เขาลูบจมูกเบาๆ พลางตอบตำรวจกลับไปว่า “เธอเป็นพี่สะใภ้ของผมครับ”
“บัตรประชาชน” ตำรวจพูดกับสีจิ่นยวน
สีจิ่นยวนยึกยักอยู่นานแต่ก็ไม่เอาบัตรประชาชนออกมาสักที ฉันอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่เขาด้วยความแปลกใจ “ไม่ได้พกบัตรประชาชนมาเหรอ? ”
เขาคลำหาอยู่นานจึงจะควักบัตรประชาชนออกมาแล้วยื่นให้ตำรวจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจโอวกวาดตามองจากนั้นก็ขมวดคิ้ว “ยังอายุไม่เต็มสิบแปดดี”
“อะไรนะ? นายยังอายุไม่เต็มสิบแปดดีเหรอ? ” สีจิ่นยวนทำฉันตกใจเป็นอย่างมาก ฉันหยิบบัตรประชาชนจากมือของตำรวจมาดูอย่างละเอียด
เป็นอย่างที่คุณตำรวจพูดจริงๆ นับดูแล้วตอนนี้เขาอายุแค่สิบเจ็ดปีครึ่งเท่านั้น ยังไม่ถึงสิบแปด
ฉันจ้องมองเขาด้วยความโกรธ “เจ้าเด็กโกหกนี่ นายบอกฉันว่านายอายุยี่สิบแล้วไม่ใช่เหรอ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...