ป้าอู๋และคนอื่น ๆ จ้องมองมาที่ฉัน “คุณนายสามบาดเจ็บอีกแล้วเหรอคะ ?”
ฉันสังเกตเห็นว่าพวกเขาได้พูดคำนั้นอีกครั้ง มันช่างน่าอายเสียจริง
เด็กสาวหลาย ๆ คนในครอบครัวพยายามมาช่วยพยุงฉันขึ้นทั้งซ้ายทั้งขวา ตอนนี้ฉันเลยดูเหมือนถูกห่อด้วยผ้าพันแผลจนกลายเป็นมัมมี่
ฉันรีบพูดขึ้น “ฉันสบายดีค่ะ ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง”
พวกเขาเลยยอมแพ้กันไปเอง
ซุปของเย็นวันนี้เป็นปอดหมูตุ๋นกับลูกแพร์ จริง ๆ แล้วทุกอย่างที่ใส่ไปในซุปฉันโอเคกับมัน อีกทั้งปอดหมูเองก็อร่อยเอามากๆ
เฉียวอี้ชอบพูดเสมอว่าปอดหมูรสชาติเหมือนกับเนื้อคน พูดเหมือนกับเธอเองเคยกินเนื้อคนมาก่อน
ฉันเพิ่งกินซุปไปได้หนึ่งชาม ป้าอู๋ก็เอาชามที่สองมาให้ฉัน
สีชิงชวนกลับมาก่อนที่ชามที่สองจะได้วางบนโต๊ะ ฉันคิดว่าเขาจะอยู่ที่โรงพยาบาลไปอีกสักพักคาดไม่ถึงว่าเขาจะกลับมาเร็วขนาดนี้
เพราะเขายังไม่ได้กินข้าวเย็น เขาจึงไปล้างมือแล้วตรงดิ่งมานั่งที่โต๊ะ
คุณย่าถลึงตามองไปที่เขา “เป็นยังไงล่ะ หลินไต้อวี้ของหลานไม่ได้ชวนกินข้าวเย็นหรือไง ?”
บางครั้งฉันก็คิดว่าความใจร้ายของสีชิงชวนน่าจะส่งตรงมาจากคุณย่า เวลาที่ใจร้ายก็ใจร้ายจริง ๆ
สีชิงชวนรู้สึกชินไปแล้ว เลยไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด
ก่อนที่จะยกชามซุปขึ้นมาเขาก็ถามฉันก่อนว่า “คุณเป็นยังไงบ้าง ?”
ฉันรู้สึกประหลาดใจกับความเป็นห่วงของเขา “ฉันไม่เป็นไร สบายดี จริง ๆ แล้วมันก็ได้ร้ายแรงอะไรหรอก”
เขาเพิ่งยกชามขึ้นมา ในเมื่อเขาถามฉัน ฉันเองก็ต้องถามถึงเซียวซือตามมารยาท “เซียวซือเป็นอย่างไรบ้าง ?เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?"
“ไม่เป็นไร พอส่งไปถึงโรงพยาบาลเธอก็ตื่นแล้ว"
“โรงพยาบาลไม่ใช่ที่พัก ตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังต้องกลับที่ที่สมควรกลับ เว้นแต่จะมีคนต้องการปกป้องเอาไว้”
คุณย่าพูดอย่างมีเลศนัย ฉันคิดว่าตั้งแต่เซียวซือเข้าโรงพยาบาล ตัวสีชิงชวนเองก็น่าจะทำตามสถานการณ์ไป เดิมทีเขาคงไม่ได้วางแผนว่าจะทำอย่างไรกับเซียวซือ แค่จัดการแบบพอประมาณก็โอเคแล้ว
ฉันไม่ใช่คนประเภทที่จะให้อภัยคนอื่นไม่ได้ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ถูกคนอ้วนนั่นทำร้ายสักหน่อยเพราะงั้นก็ปล่อยมันไปเถอะ
ฉันคิดแบบนี้ แต่สีชิงชวนกลับไม่ได้พูดอะไรอีก พวกเราเลยกินข้าวมื้อนี้กันอย่างเงียบ ๆ
แต่พอกินเสร็จฉันก็กลับไปที่ห้อง แต่สีชิงชวนกลับเดินตามเข้ามา แล้วยืนพิงตรงประตูแล้วมองมาที่ฉัน “สะดวกคุยไหม ?”
“สะดวก ฉันจะไม่สะดวกได้ยังไงล่ะ ?” ฉันรู้ว่าเขาอยากจะคุยอะไรกับฉัน ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับเซียวซือ เขาคงไม่อยากให้ฉันฟ้องเธอ
ฉันคิดว่าเขาน่ะคิดมากเกินไป เดิมทีฉันก็ไม่ได้อะไรกับเซียวซือสักหน่อย
สีชิงชวนเดินเข้ามาแล้วนั่งลงตรงที่โซฟาแล้ววางข้อศอกทั้งสองข้างไว้ที่เข่าแล้วลากสายตามองมาที่ฉัน ท่าทางที่แสดงออกสามารถเอามาถ่ายหนังได้ ดูมีสไตล์มาก
อันที่จริงฉันเดาได้ว่าเขาต้องการพูดอะไรกับฉัน แต่เวลาผ่านไปนานเขาก็คงยังไม่พูดอะไรออกมา เมื่อเวลาผ่านไปนาน ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะต้องเป็นคนเปิดปากพูดออกมาก่อน
“ฉันไม่ฟ้องเซียวซือหรอก ถึงยังไงเราก็เติบโตมาด้วยกัน เรื่องพวกนั้นก็ช่างมันเถอะ!”
“ช่างมันอะไร ?” สีชิงชวนขมวดคิ้ว พอได้เห็นเข้าแบบนี้แล้ว ทำไมเหมือนเราไม่ได้พูดเรื่องเดียวกันเลยล่ะ ?
“ที่ฉันจะพูดคือเรื่องเมื่อวานมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้ยังไง ?” เขาถามฉันกลับมา
ฉันปิดปากและตั้งใจฟังว่าเขาจะพูดอะไร “งั้นคุณอยากพูดอะไรกับฉันล่ะ ?”
สีชิงชวนมองมาที่ฉันอยากไม่ละสายตา สายตาของเขาในตอนนี้ดูแปลกเอามาก ๆ
จู่ ๆ สายตาแบบนี้ของเขาก็ทำให้ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่เขากอดฉัน ในขณะกำลังร้องไห้อย่างหนักในห้องพักของโรงแรมเมื่อคืนนี้ อยู่ ๆ จิตใจฉันก็เกิดความวุ่นวายเหมือนหม้อโจ๊กปาเป่า ทั้งถั่วแดง , ลูกเดือยและทุกอย่างในหม้อ ดูวุ่นวายไปหมด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...