ฉันไปที่สถานีตำรวจกับเฉียวอี้ ฉันคิดว่าจะให้ปากคำกับตำรวจ และอธิบายเรื่องราวให้ฟัง ถ้ามันร้ายแรงกว่านั้นก็แค่ขอโทษแล้วก็เสียค่าปรับนิดหน่อย เรื่องทุกอย่างก็จะจบลง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้มันจะร้ายแรงมากกว่านั้น ตำรวจได้บอกว่าเซียวซือว่าได้ดำเนินคดีกับเราแล้ว บอกว่าฉันเป็นคนสั่งให้เฉียวอี้ไปทำร้ายร่างกายของเซียวซือ
“พวกเรามีปากเสียงกัน เซียวซือใช้ก๊าซเคมีอันตรายทำให้เรามึนหัวนานกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง ฉันก็แค่อยากจะสั่งสอนเธอนิดหน่อยก็เท่านั้น ตอบแทนตามมารยาททำไมงั้นเหรอ?พวกเรายังไม่ได้แจ้งตำรวจเลย แต่คนชั่วอย่างเธอก็ชิงแจ้งไปสักก่อน”
“สงบคำของคุณก่อน” ตำรวจพูดกับเฉียวอี้อย่างเคร่งขรึม “อะไรคือตอบแทนตามมารยาท?ทะเลาะกันคือตอบแทนตามมารยาทงั้นเหรอ?ถ้าหากพวกคุณได้รับบาดเจ็บก็สามารถแจ้งตำรวจได้เสมอ หรือว่าโลกใบนี้ไม่มีกฎหมายแล้ว?เวลามีเรื่องอะไรพวกคุณก็สามารถแก้ปัญหากันเอง แล้วจะมีตำรวจอย่างพวกเราไว้ทำไม?”
ฉันดึงกระโปรงของเฉียวอี้ เพื่อให้เธออยู่ห่างจากตำรวจ
ตำรวจก็พูดต่ออีก สิ่งที่คุณทำคือการมุ่งร้าย คุณลงมือหนักไปแล้ว ใบหน้าของนักข่าวคนนั้นดั้งจมูกร้าว ทั้งหน้าบวมจนจำแทบไม่ได้ ตอนนี้ยังอยู่ในห้องฉุกเฉินให้การช่วยเหลืออยู่เลย!”
“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
“แน่นอนว่าร้ายแรงมาก หมัดเท้าของคุณหนักแค่ไหนคุณไม่รู้เลยเหรอ”
ฉันคิดว่าคุณตำตรวจไม่น่าจะตื่นตระหนกนะ เพราะว่าเฉียวอี้เมื่อก่อนเป็นนักมวยมาก่อน หมัดของเธอหนักมากจนผู้ชายส่วนใหญ่ยังรับไม่ไหว ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงพิการทางสมอง อย่างเซียวซือเลย
ฉันอยากจะบอกกับคุณตำรวจว่า “สามารถเรียกทนายได้ไหมคะ ?”
“ได้ แต่ถ้าเธอยังไม่พ้นขีดอันตราย คุณก็ไม่สามารถประกันตัวได้”
“ไม่ต้องห่วง”เฉียวอี้บอกกับฉัน “ทนายของฉันมีความสามารถมาก รับรองว่าจะสามารถพาเราออกไปได้อย่างแน่นอน”
ฉันจำได้ว่าเฉียวอี้ดูเหมือนจะรู้จักเพื่อนอยู่ไม่น้อย
ถือว่าคุณตำรวจยังมีความใจดีอยู่ ให้เวลาพวกเราได้โทร
แต่ว่าเฉียวอี้ได้โทรไปแล้วหลายรอบ ก็ยังไม่มีเพื่อนทนายคนไหนยอมรับสายเลยสักคน
“ให้มันได้อย่างงี้สิ”เฉียวอี้อดไม่ได้ที่จะสบถคำหยาบออกมา “คนไปแล้วชาก็เย็นเรื่องจริงสินะ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย คนพวกนี้ก็ห่างจากฉันเป็นแสนฟุต รอฉันเฉียวอี้ตงซานกลับมาก่อนเถอะ ดูว่าฉันจะจัดการกับพวกเขาทีละคนทีละคนออกไปจากเมืองฮัวยังไง”
“ไม่จำเป็นต้องพูดคำรุนแรง”ฉันทุกข์ใจมาก แม้แต่เฉียวอี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทนายของฉันที่อยู่เมืองฮัว นอกจากหนีอีโจว ก็ไม่รู้จักใครอีกเลย
แต่ว่าฉันกับหนีอีโจวได้แยกการแล้ว ฉันจะไม่มีทางกลับไปหาเขาอีก
ฉันคิดแล้วคิดอีกทั่วเมือฮัว นอกจากสีชิงชวน ก็มีเพียงเขาคนเดียวที่ฉันสามารถขอความช่วยเหลือได้ เขาน่าจะสามารถช่วยฉันได้ล่ะมั้ง
ฉันกับฉียวอี้เรามองหน้ากัน และเรียกชื่อคนๆหนึ่งออกมาพร้อมกัน “ป๋ออวี่”
“ใช่แล้ว โทรไปหาป๋ออี้ เขาจะต้องช่วยพวกเราออกไปได้แน่นอน พูดถึงป๋ออี้ เขาก็ชอบเธอมากนิ”เฉียวอี้ใช้ศอกกระแทกใส่ฉันไปหนึ่งที อิอิอิ
เวลาแบบนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาเล่นกับเธอหรอก ถ้าหากเป็นแค่เพื่อน ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะเรียกหาเขามาหรอก แต่ว่าฉันรู้อยู่แล้วว่าป๋ออี้ชอบฉัน ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งฉันก็ยังไปสร้างความเดือดร้อง ให้กับคนอื่น นั่งไม่ใช่ว่ากำลังหลอกใช้เขาอยู่เหรอ เท่ากับว่าฉันผิดศีลธรรมเลยนะ
ฉันเลียริมฝีปากแล้วพูด “งั้นฉันเรียกหาสีชิงชวนดีกว่า”
“โทรหาป๋ออี้นั่งแหละ”เฉียวอี้หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดเบอร์ป๋ออวี่ จากนั้นก็ยื่นให้เธอ
ป๋ออี้รับสายอย่างไว มือถือพึ่งจะถือไว้ข้างหู ฉันก็ได้ยินเสียงของป๋ออวี่พูดว่าฮาโหลดังออกมาจากไมโครโฟน “เฉียวอี้”
ฉันพูดเสียงเบา “ฉันไม่ใช่เฉียวอี้ ฉันคือเซียวเซิง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พ่ายรักเมียในนาม(จบ)
จบซะแล้วลงตอนไม่ครบค่ะ ขาดตอนที่ 501,506...
เย้ อัพต่อแล้ว 👍👍👍...
แอด...ยังรออัพเดทนะคะ😁😁...
รอมาอัพต่อค่ะ...
กี่ตอนจบค่ะ...
Please up Chapter495...
สนุกมากๆ ค่ะ ติดตามอยู่นะคะ...
นางเอกไม่ได้โง่แต่จิตใจดีเกินไปและพระเอกอยากสอนนางเอกแต่สอนผิดวิธี ในเรื่องทุกคนมีปมหมด นักเขียนค่อยๆขยายแต่ละคน เราว่าสนุก อัพต่อค่ะplease...
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดมาก เพราะนางเอกโคตรโง่เลย อ่านแล้วลุ้นแต่ก็ลุ้นไม่ขึ้น มันรู้สึกสงสารนางเอก แต่เป็นสมน้ำหน้า พระเอกก็ใจดำเอาแต่ใจตัวเอง ทำตัวแย่ ทำให้รำคาญ อ่านแล้วไม่ลุ้นให้ได้จบลงด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ให้รับผลจากความโง่และการกระทำของตัวเอง...
สามีแบบนี้ ควรทิ้งอ่ะ จะสอนก็สอน แต่ไม่ควรบีบบังคับหักหน้า ทำให้อับอายอย่างนี้ ไม่ให้อภัยเด็ดขาด ยิ่งรู้ว่านังซือยังไม่ตัดใจ ยิ่งต้องจัดการให้ชัดเจนแทนที่จะปล่อยคลุมเครือ...