พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 344

และแล้วในเวลาต่อมา จี้หลิงหวาจึงต้องอาศัยฤทธิ์สุราเข้าช่วย จึงสามารถใกล้ชิดกับฮ่องเต้จาวเหรินได้

ซึ่งนับแต่นั้น ท่าทีของฮ่องเต้จาวเหรินก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ความห่างเหินค่อย ๆ คลายลงมากขึ้น

นางเป็นคนโชคดี เพียงครั้งเดียวก็ตั้งครรภ์ ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ฮองเฮาเฟิงริษยายิ่งนัก และไม่ว่าฮองเฮาจะทำอะไร ฮ่องเต้จาวเหรินก็มักจะลำเอียงเข้าข้างอยู่เสมอ ทำให้จี้หลิงหวาได้แต่กล้ำกลืนความขมขื่นเอาไว้

ในคืนแห่งความเหน็บหนาว นางได้คลอดพระโอรส ฮ่องเต้จาวเหรินไม่ได้อยู่ข้างกาย เขารออยู่นอกตำหนักเพียงครู่เดียวก็ถูกมหาดเล็กทูลเชิญไปที่อื่น

ลือกันว่าเพราะเศษถ่านในตำหนักของฮองเฮาเกิดประกายไฟ จนเกือบเผาไหม้ตำหนักทั้งหลัง

ฮ่องเต้จาวเหรินไปโดยไม่ลังเล จวบจนฟ้าเกือบสว่าง นางคลอดลูกราวกับผ่านความเป็นความตายเนิ่นนาน อีกฝ่ายจึงรีบลนลานมาที่ตำหนัก

“พระสนมซูเฟยเป็นอย่างไรบ้าง?”

มหาดเล็กสีหน้ายินดี “ทูลฝ่าบาท ปลอดภัยทั้งมารดาและบุตร พระสนมประสูติพระโอรส ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

เพื่อชดเชยที่ขณะคลอด ฮ่องเต้จาวเหรินไม่ได้อยู่ข้างกาย จึงมอบสิทธิ์ในการตั้งชื่อลูกให้จี้หลิงหวาเป็นคนตั้งเอง

“ที่แล้วมาเจ้ามีความรู้เป็นที่เลื่องลือ งั้นชื่อของลูกก็ให้เจ้าตั้งแล้วกัน”

จี้หลิงหวาในขณะนั้นอ่อนเปลี้ยเพลียแรง สติเลือนรางจนแทบลืมตาไม่ขึ้น ท้องฟ้าในฤดูหนาวเห็นแดดรำไรลอดผ่านต้นหลิงฮวามาทางหน้าต่าง

เหล่านางในและแม่นมต่างยกเอาบัวลอยข้าวเหนียวมาวาง บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นบาน

จู่ ๆ นางก็หวนคิดถึง ครั้งหนึ่งเคยมีคน ๆ หนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ถ้ามีโอกาสในวันครีษมายันจะพานางไปขึ้นเขาหานซาน รอดูช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นมา

กล่าวกันว่าในวันนั้นดวงอาทิตย์จะขึ้นเร็วเป็นพิเศษ ทั้งยังอยู่บนท้องฟ้าเนิ่นนานกว่าวันไหน ๆ ของปีอีกด้วย

หนุ่มสาวที่มีความรักต่อกัน ไปผูกด้ายแดงบนต้นไม้อธิษฐานในวัดหานซาน จะได้ครองคู่อยู่กินไปชั่วกาลนาน

จี้หลิงหวาเคลิบเคลิ้มใกล้จะหลับ พลางเอ่ยปากพูดเบา ๆ “ฉางซวี่...ให้ชื่อว่าฉางซวี่...”

“แม้จะเกิดในฤดูหนาว แต่ให้ชื่อว่าฉางซวี่ ไม่เลว ๆ ความหมายดีมาก สมแล้วที่เป็นซูเฟย”

ฮ่องเต้จาวเหรินเห็นชอบในทันที ก้มหน้าไปก็เห็นจี้ซูเฟยได้นอนหลับไปแล้ว หลังจากสั่งงานอยู่ครู่หนึ่งก็รีบกลับไปตำหนักเฟิ่งซีเพื่อปลอบใจฮองเฮาที่เสียขวัญอีก

และเมื่อมีลูก จี้หลิงหวาอยู่ในวังก็ค่อยมีความสุขขึ้นบ้าง

นางรู้ว่าฮ่องเต้จาวเหรินทรงรักหญิงอื่นอยู่ จึงไม่กล้าคาดหวังให้ปฏิบัติต่อนางเหมือนอย่างเช่นเซียวเหมี่ยน แค่บางครั้งเสด็จมาเยี่ยมที่ตำหนักบ้าง นางก็พอใจมากแล้ว

ปรากฏว่าการลงทัณฑ์จากสวรรค์ยังไม่สิ้นสุด ลูกชายของนางตอนอายุเก้าขวบได้ตกจากที่สูงลงมา นับแต่นั้นก็มีอาการเรื้อรัง พูดจายังแทบเรียงเป็นประโยคไม่ได้ หมอหลวงวินิจฉัยว่าเป็นโรคทางสมองอ่อน ๆ จนแม้แต่อู่อันกงก็จนปัญญาจะรักษา

หลังเกิดเหตุหอต้าหลี่ได้ทำการไต่สวนจนพบว่าฮองเฮาเฟิงต้องสงสัยที่สุด แต่เสียดายไร้หลักฐาน ประจวบเหมาะกับตระกูลจี้มาเกิดเรื่องซ้ำ ถูกขุนนางในราชสำนักร้องเรียน

ฮ่องเต้จาวเหรินก็ทรงวุ่นอยู่กับราชกิจ จนไม่มีแก่ใจไปเหลียวแลความขัดแย้งของฝ่ายใน เรื่องนี้จึงได้จบลงเงียบ ๆ

จี้หลิงหวาไม่อาจเล่นงานคนที่ปองร้ายลูกชายตนเอง ซ้ำยังมีข่าวคนตระกูลจี้ทยอยเข้าเรือนจำ ภายในคืนเดียวเหมือนตกจากสวรรค์สู่ดินโคลน นับแต่นั้นจึงให้รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก

นางได้อยู่กับคนที่รักสมความปรารถนา แต่สิ่งที่แลกมา คือความทุกข์ทรมานที่สาหัสสากรรจ์นัก

หลังจากนั้น นางจึงไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮา วัน ๆ สวดมนต์ไหว้พระ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งในวังอีก

จากนั้นไม่นาน เซียวเหมี่ยนรู้ข่าวก็กลับมาเมืองหลวง พร้อมอาสาจะพาเซียวฉางซวี่ออกไปรักษาตัวข้างนอก

“ข้าไปท่องยุทธภพมาหลายปี รู้จักคนเก่งมีความสามารถไม่น้อย มีหมอเทวดาผู้หนึ่งเชี่ยวชาญโรคทางด้านนี้ ไม่แน่อาจพอรักษาฉางซวี่ได้”

เนื่องจากหมอเทวดามีคนไข้ที่ต้องดูแลเยอะ จึงไม่สะดวกจะเข้าวัง ฮ่องเต้จาวเหรินจึงต้องฝากฝังลูกชายคนรองให้แก่เซียวเหมี่ยนไป

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทุกปีเซียวฉางซวี่จะต้องไปอยู่ข้างนอกเพื่อรักษาตัวเป็นเวลาหลายเดือน และหกปีให้หลัง อาการของเขาก็ดีขึ้นมาก แม้ว่าการพูดจายังจะช้าบ้าง แต่ไม่ตะกุกตะกักหรือขาดเป็นช่วง ๆ อีกแล้ว

ด้วยเหตุนี้ ลูกชายนางจึงยิ่งใกล้ชิดสนิทกับเซียวเหมี่ยนมากขึ้น จี้ซูเฟยแม้จะรู้สึกตื้นตัน แต่ในใจก็ยังสับสนอยู่มาก

และนางก็เพิ่งมารู้หลังเกิดเหตุร้ายในวังเมื่อวันก่อน ว่าเสียนอ๋องได้หายเป็นปกติตั้งแต่ตอนอายุสิบห้าปีแล้ว

และหลังจากนั้น เขาเพียงแต่แกล้งโง่ตามคำสั่งสอนของเซียวเหมี่ยน ซ้ำยังค่อย ๆ วางแผนเพื่อจะชิงบัลลังก์ เป็นการปกปิดที่ทำมาหลายปี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ