พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 349

อวิ๋นหลิงเดินตามหลังนางกำนัล มาถึงตำหนักร้างแห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หน้าประตูมีทหารเฝ้าอยู่สามถึงห้าคน

บนโต๊ะมีกาเหล้าอยู่สองกา จัดวางพร้อมกับอาหารเลิศรส กำลังกรุ่นด้วยไออุ่น น่าจะเพิ่งส่งมาจากทางห้องเครื่อง

นางกำนัลพานางเดินเข้าไป พร้อมโค้งคำนับ “พระชายาโปรดรอซักครู่ ไม่นานท่านเสียนอ๋องจะรีบมาพบ”

เป็นใครก็ดูออกว่านี่คือหลุมพราง อวิ๋นหลิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ในใจแอบคิดว่าคงเป็นฝีมือเจ้าคนถ่อยเกอซูปู้แน่นอน

นางพยักหน้ารับคำ “รู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน”

ในเมื่ออยากหาเรื่องใส่ตัว งั้นนางก็ไม่เกรงใจเหมือนกัน

เพียงไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเป็นจังหวะ อวิ๋นหลิงหันหน้าไปดู ก็เห็นเกอซูปู้พาทหารกบฏหลายคนเดินมาถึงหน้าประตูตำหนักจริง ๆ

สายตาของอวิ๋นหลิงไปอยู่ที่ทหารด้านหลังเขาคนหนึ่ง สองฝ่ายประสานสายตากันแวบหนึ่ง พร้อมกับเบนไปทางอื่นโดยไม่ต้องนัดหมาย

ในยามกลางวัน คนของเย่ซื่อได้แฝงตัวมาอยู่ในกองทัพกบฏเรียบร้อยแล้ว

“อ้างชื่อของเสียนอ๋องหลอกข้ามานี่ แม่ทัพเกอซูปู้ต้องการอะไรแน่?”

อวิ๋นหลิงแอบถอนใจเบาๆ สีหน้าปรากฏแววไม่สู้พอใจนัก ถามออกไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ

“ฮ่า ๆ ๆ กลัวว่าพระชายาจิ้งอ๋องจะไม่ยอมให้เกียรติ ข้าจึงต้องใช้วิธีเช่นนี้”

เกอซูปู้หัวเราะเสียงดัง จากนั้นก็ปรบมือ ให้คนข้างหลังเอาของออกมา อวิ๋นหลิงปรายตาดู สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เพราะเห็นเหล่าทหารนำสิ่งของสามอย่างที่นางคุ้นเคยอย่างที่สุดเข้ามา

ชุดเกราะที่เปื้อนโลหิต ป้ายคำสั่งสลักคำว่าจิ้ง และทวนสีเงินที่เปล่งประกายแวววาว

เกอซูปู้มองดูสีหน้าอวิ๋นหลิงด้วยความพึงพอใจ ยิ้มพลางเดินขึ้นหน้ามา “ของสามสิ่งนี้ เชื่อว่าพระชายาจิ้งจอกน่าจะรู้จักดี”

อวิ๋นหลิงกำผ้าเช็ดหน้าแน่น สายตามองที่เขาอย่างโกรธเคือง น้ำเสียงสั่นระริก “เจ้าไปเอามาจากไหน? เขาเป็นยังไงบ้าง?”

“เฮ่ย...ใครเลยจะไปถึง ว่าเทพสงครามจิ้งอ๋องแห่งต้าโจว ออกศึกทุกครั้งไม่เคยปราชัย สุดท้ายกลับต้องตายอยู่กลางป่า ปล่อยให้สัตว์รุมแทะจนเหลือแต่กระดูก”

เกอซูปู้พูดเนือย ๆ แต่แฝงด้วยน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์ ใบหน้าคมเข้มนั้นมีรอยยิ้มมากขึ้น โดยไม่มีความเสียใจแม้แต่น้อย

“น่าเสียดาย...เสียดายนัก!”

อวิ๋นหลิงแอบด่าในใจ โง่แล้วยังพล่ามเยอะอีก

จากนั้นก็ทำตัวอ่อนทรุดไปนั่งกับเก้าอี้ จ้องมองเขาด้วยน้ำตาคลอ แววตาเต็มไปด้วยความแค้นและไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น

“ไม่...เป็นไปไม่ได้ เจ้าหลอกข้า ท่านอ๋องจะต้องไม่เป็นอะไร!”

นัยน์ตากลมโตเต็มไปด้วยหยาดน้ำวาวใส ราวกับมีม่านหมอกมาปกคลุม ใบหน้าเรียวมนตกใจจนซีดเผือด สันจมูกกลับกลายเป็นแดงเรื่อขึ้น

อารมณ์ตื่นเต้นหวาดกลัวผสมผสานกับความอดทนแข็งแกร่ง ทำเอาเกอซูปู้เกิดความรุ่มร้อนในใจ จ้องมองนางอย่างตะลึงลาน จนเกือบลืมไปว่าต้องพูดอะไรอีก

ชาติที่แล้วอวิ๋นหลิงเคยใช้หน้าตาและฝีมือการเล่นละครของนาง ทำให้หนุ่มหลายคนเคลิบเคลิ้มไหลหลง ชนิดที่ว่า “ต้องการสไตล์ไหน ฉันจะจัดให้หมด”

แต่ในชีวิตจริงนางกลับเป็นคนขวานผ่าซากตรงไปตรงมา จึงไม่มีใครรู้ว่านางก็เล่นละครเก่งเหมือนกัน

เมื่อเห็นความเคลิ้มของเกอซูปู้แล้ว อวิ๋นหลิงก็ให้นึกขำในใจ แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉยอยู่

“อยู่ต้องพบคน ตายต้องเห็นศพ ข้าไม่เชื่อว่าท่านอ๋องจะตายแล้วจริง ๆ!”

เกอซูปู้เหมือนถูกนางสะกดจิตเข้า ต้องมนต์จนวิญญาณแทบจะออกนอกร่าง จนพักใหญ่ถึงได้ตั้งสติกลับมา

“ร่างของจิ้งอ๋องถูกกัดแทะจนเหลือแต่กระดูกแล้ว พระชายาจะดูไปทำไมอีก? เขาเป็นคนบุญน้อย เสียดายก็แต่พระชายาที่ต้องครองตัวเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว”

เกอซูปู้เดินขึ้นหน้า ใช้สายตาอันเร่าร้อนจ้องมองอวิ๋นหลิง พลางลดเสียงต่ำส่อแววเชิญชวน

“เฮ่ย ทีแรกว่าจะให้ตัดหัวเขามา ให้มาดูอยู่ข้าง ๆ คงจะสนุกพิลึก แต่ไม่รู้ว่าจะตายตาหลับหรือเปล่า?”

อวิ๋นหลิงข่มความรู้สึกที่แทบอยากฆ่าเขาซะ แอบปรายตามองดูเขาเล็กน้อย

อีกฝ่ายเริ่มมีสติไม่มั่นคง เป็นเวลาที่การระวังภัยเปราะบางที่สุด ดูท่าแผนสาวงามของนางจะได้ผลจริง ๆ

การควบคุมทางจิตของมนุษย์แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน คนที่มีจิตแน่วแน่ จะสามารถต้านการจู่โจมของพลังจิตได้มากกว่า ดังนั้นคนฝึกวรยุทธ์จะเล่นงานยากกว่าคนธรรมดาทั่วไป

เกอซูปู้ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่หาได้ยาก ศัตรูระดับอย่างเขา อวิ๋นหลิงต้องใช้พลังจิตทั้งหมดที่มี จนมั่นใจว่าสามารถฆ่าสองคนได้ในพริบตาด้วยซ้ำ

แต่ว่า การใช้พลังจิตที่ถูกต้อง จะไม่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในภาวะพลังจิตสูญสิ้นเป็นอันขาด

เมื่อเกอซูปู้สั่งการ เหล่าทหารกบฏก็พากันออกไป อวิ่นหลิงรีบใช้มือส่งสัญญาณให้แก่เย่ซื่อโดยไม่มีใครรู้

เย่ซื่อมีความกังวลในดวงตา แต่ก็อดทนพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ ติดตามทหารกบฏถอยหลังออกไป

เกอซูปู้ปิดประตูทันที สายตารุ่มร้อนจับจ้องที่อวิ๋นหลิง พร้อมรินเหล้าและยื่นส่งให้นาง

“มา ขอดื่มให้พระชายาหนึ่งถ้วย...”

จากนั้น เขาก็รีบเอื้อมมือไปทางอวิ๋นหลิง คิดจะโอบเอวนางเข้ามา

ยังไม่ทันแตะถูกชายเสื้อ ฉับพลันก็มีอาการคล้ายกับเวียนศีรษะ

เห็นรอยยิ้มของสาวงามที่อยู่เบื้องหน้ากลายเป็นยิ้มแสยะ เกอซูปู้เกิดความตกใจ สติสัมปชัญญะเข้าสู่ภวังค์แห่งความมืดมิดอยู่ครู่หนึ่ง

เสียงถ้วยแตก “เพล้ง” ลงบนพื้น เหล้าสาดกระจาย อวิ๋นหลิงเอาเท้าเหยียบบนตัว เอื้อมมือไปดึงมีดสั้นที่เหน็บอยู่ข้างเอวของเกอซูปู้ออกมา

“ล่าสุดที่มีผู้ชายมาทำกรุ้มกริ่มกับข้า ป่านนี้ไปนอนสบายอยู่ในหลุมแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ