พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 519

วันถัดมา ตำหนักทองหลวงคึกคักอย่างที่คาดการณ์ไว้

เซียวปี้เฉิงกับพวกหรงจั้นร่วมมือกันเขียนหนังสือฟ้องร้องแล้วส่งให้จักรพรรดิจาวเหริน ฟ้องร้องในข้อหาตระกูลจางดูหมิ่นอำนาจฮ่องเต้เที่ยวรุกรานและท้าทายผู้อื่น ทำลายชื่อเสียงผู้อื่น

จักรพรรดิจาวเหรินรู้สึกแค้นมานาน ครั้งนี้เขามองเซียวปี้เฉิงกับอวิ๋นหลิงในท้องพระโรงแล้วก็รู้สึกมีความกล้าขึ้นมา จึงได้ระเบิดอารมณ์ออกมาเต็มที่

“ดีเหลือเกิน ใต้เท้าจาง ท่านเป็นถึงอาลักษณ์กรมพิธีการที่ผ่านการสอบคัดเลือกมา แต่กลับสั่งสอนลูกหลานเยี่ยงนี้รึ? ช่างมีมารยาทเสียจริง”

“กล้าต่อสู้กับองค์ชายต่อหน้าธารกำนัล เห็นราชวงศ์เป็นตัวอะไรกัน?”

“หรือตำแหน่งของตระกูลจางสูงกว่าราชวงศ์ วันหน้าหากข้าเจอเจ้า ต้องคุกเข่าคำนับเจ้าหรือไม่?”

อาลักษณ์โดนด่าจนไม่เหลือชิ้นดี เขาถึงกับต้องมึนงง เขาโลดแล่นอยู่ในตำหนักทองหลวงหลายปี แต่เป็นครั้งแรกที่เห็นจักรพรรดิจาวเหรินเกรี้ยวกราดอย่างห้าวหาญเพียงนี้

ไม่ใช่แค่เขา ขุนนางใหญ่ที่เหลือก็ล้วนแอบตกใจเช่นกัน

เพราะจักรพรรดิจาวเหรินเป็นคนมีความอดทนสูง ถึงแม้เวลาหารือการปกครองแล้วจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่เคยบันดาลโทสะขนาดนี้

อาลักษณ์กรมพิธีการไม่เคยเห็นจักรพรรดิจาวเหรินเป็นเช่นนี้มาก่อน ภายในใจพลันรู้สึกสั่นสะท้าน สองขาอ่อนยวบ รีบคุกเข่าลงทันที

“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่กล้า? ข้าเก็นพวกเจ้าแต่ละคนกล้าดีจะตาย” จักรพรรดิจาวเหรินทุบโต๊ะแรงๆ ตะเบ็งเสียงเกรี้ยวกราด “นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าสลับกันมานั่งบัลลังก์มังกรแล้วกัน”

ทันทีที่ลั่นประโยคนี้ออกมา ภายในตำหนักทองหลวงพลันเกิดความอึกทึกครึกโครม พวกขุนนางก้มหน้าคุกเข่าลงพื้นด้วยสีหน้าหวาดวิตก

อวิ๋นหลิงกวาดสายตามองเซียวปี้เฉิงที่อยู่ด้านซ้ายมือ จากนั้นก็มองหรงจั้นด้านขวามือ ก่อนจะรู้สึกว่านางเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่

นางลังเลสักพักก็เดินอ้อมหรงจั้นที่อยู่ขวามือแล้วคุกเข่าลงเงียบๆ

หรงจั้น “...”

เขากระเถิบเข้าไปใกล้เซียวปี้เฉิง พวกเขาสองคนสบตากันแล้วหันไปยืนบังด้านหน้า

จักรพรรดิจาวเหรินปรายตามองภาพนี้ ทำเหมือนไม่เห็น จากนั้นก็ด่าทอพวกขุนนางด้วยความเกรี้ยวกราดต่อ

ตอนแรกเขาก็เครียดเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นพวกขุนนางใหญ่ที่ปกติชอบบีบบังคับเขา เวลานี้คุกเข่าด้วยความตื่นตระหนก ไม่กล้าส่งเสียง ก็รู้สึกเบิกบานใจยิ่ง

ดังนั้นจึงยิ่งด่ายิ่งเสียงดัง ระบายความอัดอั้นตันใจ ระบายความโกรธที่โดนควบคุมตลอดหลายปีที่ผ่านมา

อวิ๋นหลิงคุกเข่าแล้วเล่นมดบนพื้น รู้สึกว่าขาชาจนไร้ความรู้สึกแล้ว ต้องเปลี่ยนท่านั่งเงียบๆ

นางมองหรงจั้นด้วยความเห็นใจปราดหนึ่ง ร่างกายเซียวปี้เฉิงแข็งแรงไม่เป็นอันใด แต่เขาคือหนุ่มหล่อขี้โรคจะทนไหวได้อย่างไร

จวบจนกาน้ำชาข้างกายจักรพรรดิจาวเหรินว่างเปล่า เขาถึงจะหยุดด่า ปรับสีหน้าให้ดีขึ้นเล็กน้อย เสียงเริ่มแหบแล้ว

“พอแล้ว พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด”

ในที่สุดสองขาอันสั่นเทาของพวกขุนนางใหญ่ก็ได้ลุกขึ้น พวกเขารู้สึกหัวเข่าทั้งชาและเจ็บปวด

เซียวปี้เฉิงลุกขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ช่วยพยุงหรงจั้นที่ยืนไม่มั่นคงด้านข้างด้วย

“ขอบคุณ”

เขาพูดเสียงทุ้มต่ำก็มองเซียวปี้เฉิงกับอวิ๋นหลิง พวงแก้มแดงระเรื่อด้วยความกระอักกระอ่วน

เมื่อพวกขุนนางลุกขึ้นกันหมดแล้ว จักรพรรดิจาวเหรินจึงสั่งลงทัณฑ์คุณชายจาง

“เพราะรุ่ยอ๋องเป็นฝ่ายลงมือก่อน ข้าก็จะไม่ลงโทษหลานเจ้าหนักๆ ไปรับการโบยที่ศาลต้าหลี่เองสามสิบทีเถิด” จักรพรรดิจาวเหรินสั่งการแล้วก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “แต่ลูกไม่รักดีคือความบกพร่องของผู้ปกครอง รองเสนาบดีกรมพิธีการหยุดงานตั้งแต่วันนี้เลย วันไหนสั่งสอนบุตรชายได้แล้วค่อยว่ากัน”

รองเสนาบดีกรมพิธีการคือบิดาของคุณชายจาง บุตรชายของอาลักษณ์กรมพิธีการ

ทุกคนได้ยินก็สบตากัน แม้จะบอกว่าหยุดงาน ทว่าในใจพวกเขารู้ดี การหยุดงานเท่ากับการลดตำแหน่ง ไม่แน่อาจจะเสียงานราชการไปเลยก็ได้

รองเสนาบดีกรมพิธีการหน้าซีดเผือดทันที หากเป็นปกติ เขาอาจจะอาละวาดจะไปชนเสา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พระชายาคือแพทย์อัจฉริยะ