สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 11

อินชิงเสวียนหันศรีษะกลับหลัง เธอก็เห็นทหารหนุ่มหน่าตาหล่อเหลาดั่งสวรรค์สรรสร้างที่พบเมื่อวานนี้อีกครั้ง

เธอหันหลังกลับไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกตื่นเต้น "ท่านพี่ทหาร ข้าหาเจ้าพบเสียทีนะ"

เย่จิ่งอวี้มองหน้าเธอ ถามด้วยเสียงราบเรียบ "เจ้าหาข้าทำไม?"

อินชิงเสวียนดึงแขนเสื้อของเย่จิ่งอวี้ และลากเขาไปที่มุมหนึ่ง

เธอมองไปรอบๆ แล้วจึงพูดเสียงเบาว่า "ท่านพี่ทหาร ข้าน่ะแค่อยากให้เราร่ำรวยไปด้วยกัน"

"หืม?" แววตาของเย่จิ่งอวี้มืดลงเล็กน้อยในทันที

เจ้าสุนัขรับใช้ กล้าทำการค้าขายในวังเชียวรึ

อินชิงเสวียนรีบพูดต่อว่า "เจ้าวางใจ ของเหล่านี้ของข้ามีที่มาถูกต้อง ขอเพียงเจ้ายอมช่วยข้าขาย ข้าจะเก็บแค่ต้นทุนก็พอ"

เธอหยิบกระจกบานเล็กออกมาจากอ้อมอก หลังจากที่เปิดออก ก็แกว่งไปมาตรงหน้าเย่จิ่งอวี้

"เจ้าดูสิ กระจกบานนี้ทำมาจากอลูมิเนียมฟอยล์ มันส่องได้ชัดกว่ากระจกทองแดงเยอะเลย สนมนางในในวังต้องชอบมันแน่นอน"

แล้วเธอก็หยิบขวดน้ำหอมแบบลูกกลิ้งขวดนั้นออกมา จากนั้นดึงมือของเย่จิ่งอวี้มาและทามันไปที่หลังมือของเขา

"นี่คือน้ำหอมไข่มุกหลิวหลี กลิ่นหอมติดทนนาน ข้ากล้ารับประกันเลยว่าหากสนมนางในในวังใช้สิ่งนี้แล้ว ฝ่าบาทจะต้องสุขจนลืมบ้านลืมเมือง และอยากอยู่เฝ้าพวกนางตลอดเวลาแน่นอน"

เย่จิ่งอวี้ได้กลิ่นของน้ำหอมแล้ว ซึ่งมันก็ให้ความรู้สึกหอมสดชื่นจริงๆ

เพียงแต่ประโยคสุดท้าย ฟังอย่างไรก็รู้สึกขัดหูทะแม่งๆ

เขาจึงพูดด้วยเสียงต่ำ "สามหาว ฝ่าบาทจะเป็นอย่างไร ใช่ขันทีตัวเล็กๆ อย่างเจ้าจะกำหนดให้เป็นไปเสียที่ไหน"

อินชิงเสวียนใช้มือตบไปที่บ่าของเขา และพูดดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "กลัวอะไรเล่า ฝ่าบาทไม่ได้อยู่ที่นี่ พูดไปเขาก็ไม่ได้ยิน ตัณหาราคะเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ฝ่าบาทก็มิใช่พระมิใช่เจ้า ผู้ชายด้วยกันก็รู้ๆ อยู่"

อินชิงเสวียนส่งสายตาหยอกเย้าไปให้เขา จากนั้นก็หยิบลิปสติกออกมา เธอส่องกระจก แล้วทาลงไปบนปากของตัวเอง

"ดูสิ มันสะดวกแค่ไหน และสุดยอดกว่าผงชาดเยอะเลย"

เย่จิ่งอวี้มองต่ำลงไปที่ริมฝีปากเย้ายวนชวนชิมของเธอ

แสงจันทร์อ่อนๆ ส่องกระทบบนใบหน้าสวยได้รูปของอินชิงเสวียน ทำให้เธอดูผุดผ่องเนียนใส เมื่อรวมกับริมฝีปากสีแดงสดแล้ว ก็ดูมีเสน่ห์ยั่วยวนเลยทีเดียว

อินชิงเสวียนใช้แขนเสื้อเช็ดออกไป

และถามด้วยหน้าตาคาดหวัง "ท่านพี่ทหาร เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าต้องการไม่มาก ที่นี่มีของอยู่หกชิ้น เจ้าให้ทุนข้าแต่ละชิ้นสองร้อยตำลึงก็พอ ที่ขายได้มากกว่านั้นเป็นของเจ้าทั้งหมด"

ราคาภายในพระราชวังย่อมแตกต่างกับราคาข้างนอกพระราชวัง อินชิงเสวียนใช้ความกล้าเสนอราคาที่สูงหน่อย หากเขาไม่ตกลง ก็สามารถลดลงได้อีก

เย่จิ่งอวี้เก็บสายตาที่รู้สึกตะลึงอยู่บ้างกลับมา แล้วพูดว่า

"เหตุใดข้าถึงต้องช่วยเจ้า?"

ของเหล่านี้มิใช่ของที่มีในพระราชวัง เขาเองก็ไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน และมันก็ดูมีราคาระดับหนึ่งจริงๆ

อินชิงเสวียนพูดด้วยท่าทีจริงจังว่า "เจ้าไม่อยากหาเงินแต่งงานหรือ และถึงแม้ว่าเจ้าแต่งงานแล้ว เจ้าก็สามารถเอาเงินเหล่านี้ไปใช้กตัญญูพ่อแม่ได้!"

แววตาของเย่จิ่งอวี้มืดมนลงทันที พ่อแม่ของเขาตายไปตั้งนานแล้ว

เมื่อคิดถึงฮ่องเต้พระองค์ก่อน สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็เยือกเย็นลง

แต่พอคิดถึงเสด็จแม่ แววตาก็ค่อยๆ อ่อนโยนขึ้นมา

ตอนที่เสด็จแม่มีชีวิตอยู่เคยพูดว่า หากคิดถึงท่าน ก็ให้เงยหน้ามองดูดวงดาว ท่านจะคอยดูเขาอยู่อยู่บนฟ้าเสมอ

เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้น มองไปยังท้องฟ้ารัตติกาล ทว่ากลับได้ยินเสียงพูดไม่หยุดดังขึ้นข้างหู "หรือแย่กว่านั้นเจ้าก็สามารถใช้เลี้ยงลูกได้ รึว่าเจ้าจะปล่อยให้ลูกเข้าวังเป็นทหารเหมือนกันอย่างนั้นหรือ แต่ถ้ามีเงินเจ้าก็จะสามารถส่งเสียลูกให้ร่ำเรียน และสอบจอหงวนได้ ข้าว่าท่านพี่ทหารก็ดูมีความสามารถ เชื่อว่าอนาคตลูกๆ ของเจ้าก็ต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน"

ใบหน้าเปี่ยมด้วยเมตตาของเสด็จแม่หายวับไปในพริบตา ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ฉายแววหงุดหงิด

"พอแล้ว ถอยไป หากยังพูดจาไร้สาระอีก ข้าไม่ยกโทษให้เจ้าแน่"

อินชิงเสวียนเองก็รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาเช่นกัน คนๆ นี้ทำไมถึงได้เข้าใจอะไรยากเย็นแบบนี้นะ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์