เย่จิ่งอวี้ยื่นมือผลักซูฉ่ายเวยออก
ถามเสียงราบเรียบว่า “เจ้าเห็นขันทีที่อุ้มทารกวิ่งมาทางนี้หรือไม่”
ซูฉ่ายเวยนิ่งอึ้งจนปากน้อยอ้าค้าง ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “หม่อมฉันไม่เห็นขันทีไหนเลย อีกทั้งในวังนี้...จะมีทารกได้อย่างไรเพคะ”
พระสนมทั้งหลายยังไม่เคยได้รับรักจากฮ่องเต้ หากจู่ๆ มีเด็กทารกโผล่มา ไม่แปลกประหลาดไปหน่อยหรือ
ซูฉ่ายเวยเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นเย่จิ่งอวี้ก็เห็นลายดอกไม้บนหน้าผากนาง สองตาหรี่เล็กลง
“ชาดดอกไม้ของพระสนมช่างโดดเด่นนัก ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนวาดให้รึ”
พอซูฉ่ายเวยได้ยินคำชม ในใจนึกยินดี ยิ้มตอบว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงเป็นผู้มอบให้หม่อมฉันเพคะ ของนี้มาจากแคว้นฮว๋าเซี่ยเช่นกัน หายากยิ่งเพคะ”
พอได้ยิน ‘เสี่ยวเสวียนจื่อ’ สามคำนี้ ริมฝีปากของเย่จิ่งอวี้ค่อยๆ ยกขึ้น
จึงถามขึ้นอย่างหยอกล้อว่า “ของสิ่งนี้คงราคาไม่ถูกสินะ”
ซูฉ่ายเวยรีบอธิบาย “หม่อมฉันไม่บังอาจทำการซื้อขายในวังหลวงเพคะ นี่เป็นของที่เสี่ยวกงกงมอบให้หม่อมฉันเองเพคะ”
“เช่นนั้นรึ”
เย่จิ่งอวี้ไม่รอคำตอบ เดินดุ่มเข้าไปในตำหนักของนาง
พอเห็นว่าฮ่องเต้เสด็จเข้าตำหนักเอง ซูฉ่ายเวยยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูแล้ว จึงรีบเร่งเดินตามไป
“เซียงหลาน รีบไปชงชาให้ฝ่าบาทเร็วเข้า”
เย่จิ่งอวี้ยกชายเสื้อแล้วนั่งลง พูดเสียงราบเรียบ “ไม่ต้องหรอก ข้ามานั่งครู่เดียวเดี๋ยวก็ไป”
ซูฉ่ายเวยร้อนใจแล้ว
“ฝ่าบาทนานๆ จะเสด็จมาคราหนึ่ง เหตุใดจึงรีบเร่งจากไปล่ะเพคะ อีกทั้งตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว มิสู้อยู่ค้างที่นี่เล่าเพคะ”
เย่จิ่งอวี้ยกขายาวเรียวขึ้นไขว่ห้าง มองไปทางซูฉ่ายเวย ทันใดก็มองเห็นจิ้งจอกน้อยบนกระดูกไหปลาร้าของซูฉ่ายเวย
“อย่าบอกนะว่านี่ก็เป็นผลงานโดดเด่นของเสี่ยวเสวียนจื่ออีก”
ซูฉ่ายเวยไม่กล้าโกหก ก้มหน้าลงกล่าว “ใช่เพคะ”
เย่จิ่งอวี้ยกยิ้มมุมปาก เจ้าบ่าวรับใช้คนนี้ ช่างใส่ใจเก่งนัก
ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเขามักจะไปวังเย็น ทางนี้เป็นทางผ่านไปวังเย็น หรือคนที่อุ้มทารกวิ่งหนีก็คือเขา?
คิ้วคันศรขมวดแน่น ถามว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อเพิ่งมาที่นี่รึ”
ซูฉ่ายเวยตอบอย่างนอบน้อมว่า “เพคะ เขาบอกว่ามีเรื่องต้องจัดการให้ฝ่าบาท ทิ้งของไว้แล้วรีบรุดจากไปเลยเพคะ”
“มีเรื่องต้องการจัดการให้ข้ารึ”
เย่จิ่งอวี้สะบัดอาภรณ์แล้วลุกขึ้นทันที
“หลี่เต๋อฝู ไปวังเย็น”
“ฝ่าบาท”
ซูฉ่ายเวยร้อนใจจนขยี้ผ้าเช็ดหน้า
เย่จิ่งอวี้พูดเสียงราบ “ข้ามีเรื่องต้องถามเสี่ยวเสวียนจื่อ วันพรุ่งนี้จะมาหาเจ้าใหม่”
พอได้ยินเช่นนี้ ซูฉ่ายเวยก็ดีใจขึ้นมาทันที
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะคอยฝ่าบาทเสด็จมาอยู่ที่หอฉงฮวานะเพคะ”
เย่จิ่งอวี้ตอบอืม คนทั้งขณะก็เดินตามกันออกจากหอฉงฮวาไป
ทางข้างหน้าค่อยๆ มืดลง เหมือนอุโมงค์ที่ไม่มีปลายทางดูดกลืนแสงสว่างไปหมดสิ้น
วังเย็นตั้งอยู่ที่รกร้างห่างไกลที่สุดของวังหลวง สถานที่แห่งนี้ไม่มีแสงไฟ และไม่มีคนเฝ้าเวร
วังเก่าทรุดโทรมตั้งอยู่ในความมืด กันดารยิ่งนัก
พระสนมทั้งผินทั้งเฟยในอดีตล้วนถูกปล่อยตัวออกหมดแล้วนับตั้งแต่เย่จิ่งอวี้ขึ้นครองบัลลังก์ วังเย็นในทุกวันนี้จึงยิ่งวังเวงขึ้นไปอีก
เสียงนกกาบินว่อนผ่านหัวไป เสียงก๊าบก๊าบ ให้ความรู้สึกซาบซ่านอย่างประหลาด
หลี่เต๋อฝูอดตกใจกลัวจนกระตุกไม่ได้
“ฝ่าบาท ท่านจะเสด็จไปวังเย็นหรือพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินเสี่ยวเสวียนจื่อบอกว่า ที่นั่นสกปรกยิ่งนัก...”
เย่จิ่งอวี้ตอบเสียงเย็น “แล้วเช่นไรเล่า ข้าเป็นโอรสสวรรค์ ยังจะต้องกลัวภูตผีปีศาจอีกหรือ”
หลี่เต๋อฝูรู้ดีว่าฮ่องเต้ไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดาพวกนี้ จึงทำได้เพียงปิดปากเงียบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...