สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 1159

ตำหนักเทพ ด้านหน้าภูเขา

เหมยชิงเกอได้พาศิษย์น้องทั้งสองคนไปที่ประตูทางขึ้นเขา

นางก้มหน้ามองดูชาวยุทธ์แต่ละคนที่เชิงบันได โคจรกำลังภายในที่จุดตันเถียน เอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ไหนแต่ไรมาตำหนักเทพหอทองคำกับยุทธภพต่างคนต่างอยู่มาตลอด ไม่รู้ว่าทุกท่านมาที่นี่ด้วยเจตนาใดหรือ”

ผู้อาวุโสฉีจากสำนักอวิ๋นซานเดินออกมาจากฝูงชน หัวเราะหึๆ “เมื่อไม่กี่วันก่อนผู้อาวุโสหันจาก ตำหนักเทพหลอกลวงเรา บอกว่าได้ส่งหนังสือสวรรค์ไร้อักษรไปยังเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงแล้ว ทำให้เราก่อเรื่องราวใหญ่โตในอิ๋นเฉิง บาดเจ็บล้มตายกันไปมาก บัดนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าอิ๋นเฉิงไม่มีหนังสือสวรรค์ไร้อักษร ตำหนักเทพจะไม่พยายามชดเชยบ้างเลยหรือ”

คนเหล่านี้ได้รับสมุนไพรล้ำค่ามากมายจากเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง จึงอยากมาหาผลประโยชน์บางอย่างที่ตำหนักเทพหอทองคำบ้างเหมือนกัน

สำนักอวิ๋นซานเป็นที่รู้จักกันดีว่าอาศัยการหลอกลวงและใช้กลอุบายในยุทธจักร แม้ว่าทุกคนจะรู้ดี แต่พวกเขาก็ยังคงเพ้อฝัน ตราบใดที่ได้รับผลประโยชน์แค่เล็กน้อยก็พอ ถึงอย่างไร้ไม่อาจระดมกำลังของทุกคน วิ่งไปถึงที่อย่างเสียเปล่าได้

หลังจากที่ผู้อาวุโสฉีพูดจบก็ถามอีกครั้ง “ไม่รู้ว่าแม่นางอยู่ในตำหนักเทพในฐานะอะไร เชิญผู้อาวุโสหันออกหน้า มาคุยกับเราหน่อยดีกว่า!”

ฉุยอวี้พูดอย่างเย็นชา “เบิ่งตาสุนัขของพวกเจ้าดูให้ชัด ผู้นี้คือศิษย์สายตรงของเจ้าตำหนักเทพ ยังเป็นอดีตธิดาเทพของตำหนักเทพ เหมยชิงเกอ”

ผู้อาวุโสฉีไม่รู้จักเหมยชิงเกอ เมื่อเทียบกับชาวยุทธ์ที่ค่อนข้างอวดเก่ง อิ๋นเฉิงและตำหนักเทพดูเหมือนจะไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนมากกว่า

แต่ธิดาเทพคำนี้ เขาก็พอจะได้ยินมาบ้าง

จึงประกบมือคำนับกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทพนั่นเอง เสียมารยาทแล้ว ในเมื่อแม่นางมีสถานะสูงส่ง เช่นนั้นโปรดช่วยหาวิธีแก้ปัญหาด้วย ตราบใดที่ข้าพอใจ ต้องถอนกำลังออกไปแน่”

หลังจากที่ผู้อาวุโสฉีพูดจบ เขาก็เหลือบมองฉุยอวี้อีกครั้ง จุ๊ปากแล้วพูดว่า “นี่ไม่ใช่เจ้าสำนักฉุยแห่งสำนักเซียวเหยาหรอกหรือ หากเจ้าสำนักต้องการผู้ร่วมบ่มเพาะร่างกายและจิตวิญญาณ ก็สามารถพิจารณาข้าได้”

เมื่อเห็นแววตาคลุมเครือบนใบหน้าของชายชราคนนี้ ฉุยอวี้ก็โกรธจัด ชักกระบี่จะฟันคอของผู้อาวุโสฉีทันที

“เจ้าหมาเฒ่า รนหาที่ตายงั้นรึ!”

ผู้อาวุโสฉีสะดุ้ง รีบเคลื่อนร่างหลบทันที

“ถ้าเจ้าสำนักฉุยทำร้ายข้า หนี้แค้นนี้จะต้องให้ตำหนักเทพได้ชดใช้อย่างแน่นอน”

ทันทีที่พูดจบ ก็เห็นร่างหนึ่งแวบขึ้นมาตรงหน้า และเขาก็ถูกตบบ้องหูไปหลายฉาด

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เหมยชิงเกอก็กลับมายืนอยู่ที่เดิมแล้ว

นางให้ความสำคัญกับศิษย์น้องหญิงทั้งสามมาโดยตลอด มาด่าศิษย์น้องของนางต่อหน้านางเหมยชิงเกอย่อมทนไม่ได้อยู่แล้ว

“ขืนยังกล้าพูดไร้สาระอีก ข้าจะเอาหัวสุนัขของเจ้าซะ”

เหมยชิงเกอยืนอยู่บนแท่นสูง เปล่างพลังรัศมีอันน่าครั่นคร้าม

ฉุยอวี้กระตุกมุมปากด้วยความดีใจ นี่สิถึงจะเป็นศิษย์พี่หญิงคนจริงของนาง ทั้งเผด็จการและเปี่ยมอำนาจ นางรอคอยมานานหลายปี ในที่สุดศิษย์พี่ของนางก็กลับมาแล้ว

แม้กระทั่งนางเคลื่อนไหวอย่างไรผู้อาวุโสฉีก็เห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ เขาพาลโกรธขึ้นมา

“นังสารเลว กล้าโจมตีข้า ใครก็ได้ ช่วยข้ากำราบตำหนักเทพให้ราบ”

ผู้อาวุโสฉีผูกมัดจิตใจคนได้ดีมาก ก่อนที่จะขึ้นเขา เขาได้พูดคุยกับทุกคนนับครั้งไม่ถ้วน ให้หลายคนนึกถึงแต่หอตำราสะสมในตำหนักเทพ เมื่อเห็นว่ามีเพียงสตรีสามคน ก็ยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น

ทุกคนกรูไปข้างหน้า ศิษย์ตำหนักเทพจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของเหมยชิงเกอทันที

ตอนนี้ผู้อาวุโสหันเสียชีวิตแล้ว เจ้าตำหนักก็ปรากฏตัวขึ้น ใครก็ตามที่ยังมีสมองอยู่บ้าง ล้วนต้องเลือกเข้าข้างเหมยชิงเกออยู่แล้ว

การต่อสู้ครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะแสดงความจริงใจต่อเจ้าตำหนักและธิดาเทพ

ทั้งสองกลุ่มเข้าปะทะโรมรันกันอย่างรวดเร็ว หากเป็นเหมยชิงเกอเมื่อกว่าสิบปีก่อน นางคงไม่ยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ทว่าตอนนี้นางเพียงแค่เฝ้าดูอย่างเฉยเมย

โลกนี้ทำให้นางผิดหวัง นางก็ไม่จำเป็นต้องสงสารคนที่มีจิตใจชั่วร้ายเหล่านี้

จากนี้ไป นางจะฟื้นฟูความสง่างามของตำหนักเทพ ทำให้ตำหนักเทพหอทองคำยืนอยู่บนจุดสูงสุดในยุทธภพอีกครั้ง

เฟิงเอ้อร์เหนียงแอบเหลือบมองศิษย์พี่ ขยับริมฝีปาก แต่แล้วก็กลืนคำพูดกลับเข้าไปในลำคอ

ฉุยอวี้กลับดูตื่นเต้น ดูเผินๆ ชาวยุทธ์เหล่านี้ดูองอาจผึ่งผาย กล่าววาจาเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและศีลธรรม จริงๆ แล้วล้วนมีแต่หญิงชั่วชายโฉด สกปรกโสมมยิ่งนัก คนเหล่านี้ฆ่าคนไปมากมาย ไม่ใช่แค่หลักร้อยด้วยซ้ำ

ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน เย่จั้นซึ่งปะปนอยู่ในฝูงชนก็ฉวยโอกาสนี้ ปีนขึ้นไปบนหน้าผาจากถนนด้านข้าง มุ่งหน้าตรงไปยังยอดเขาบรรจบสวรรค์

นี่คงจะเป็นเหมือนที่เจ้าสำนักเซี่ยวพูดว่าหวนสู่ความเรียบง่ายบริสุทธิ์ สามารถฝึกฝนวรยุทธ์ได้ขนาดนี้ ก็ใกล้จะประสบความสำเร็จอันใหญ่หลวงแล้ว

ในทางกลับกัน เย่จิ่งหลานซึ่งเคยมีนิสัยเอื่อยเฉื่อยไร้กังวล ตอนนี้กลับกลายเป็นคนใจร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดแดงระหว่างคิ้วของเขา มักทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกถึงความชั่วร้ายอยู่เสมอ

การเดินทางไปตงหลิวครั้งนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

ดูเหมือนว่านางต้องหาเวลาถามหวังซุ่นอย่างละเอียดแล้ว

ขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้ เย่จิ่งอวี้ก็ดึงมือออกแล้ว

“เสวียนเอ๋อร์รู้สึกอย่างไรบ้าง”

อินชิงเสวียนยืนขึ้นอย่างสง่างาม ส่งยิ้มบางๆ ให้กับเย่จิ่งอวี้

“ขอบคุณนะอาอวี้ ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”

“กับสามีเช่นข้าเหตุใดจึงพูดคำเกรงใจพวกนั้นอีก หรือว่าเสวียนเอ๋อร์ห่างเหินกับข้าแล้ว?”

เย่จิ่งอวี้จับไหล่ทั้งสองข้างของนาง มองดูใบหน้าแสนงามหยาดเยิ้มอย่างถี่ถ้วน

ลูกตาดำตัดกับตาขาวชัดเจนเช่นเคย ทั้งเฉลียวฉลาดและน่าดึงดูด ซึ่งเย่จิ่งอวี้ไม่ได้สังเกตเห็นความผิกปกติแต่อย่างใด

อินชิงเสวียนกลับรู้สึกหนักอึ้งในใจเล็กน้อย

เส้นลมปราณในร่างกายถูกเปิดออก อาการบาดเจ็บภายในก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังคงมองเห็นเพียงแสงสว่างเพียงเล็กน้อย โจรเฒ่าแซ่หันนั่น ใช้วิชาอะไรกันแน่

อินชิงเสวียนรู้สึกกังวลใจ แต่ก็ไม่ได้ปรากฏบนใบหน้า

นางยืนอยู่ที่เดิม คลี่ยิ้มบางๆ

“จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านเป็นสามีเพียงคนเดียวที่ข้ายอมรับมาทั้งสองชีวิต คำว่าห่างเหินนี้ ไม่เคยมีมาก่อน”

เมื่อมองดูรอยยิ้มแย้มพรายดั่งดอกสาลี่นั้น หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็เต้นรัว ขณะที่เขากำลังจะคว้ามือของอินชิงเสวียน ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนจากด้านหลัง “อาอวี้ ชิงเสวียน พวกเจ้าสบายดีหรือไม่”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์