สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 1160

อินชิงเสวียนเห็นเงาสีขาวรางๆ ก็รู้ว่าเย่จั้นกำลังมา

“พวกเราไม่เป็นไร สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”

เย่จิ่งอวี้หันกลับมาถาม

เขารู้อยู่แล้วว่าครั้งนี้เย่จิ่งอวี้ปลอมตัวออกนอกวัง เย่จั้นจึงไม่ได้คุกเข่าโค้งคำนับ แต่ประกบมือคำนับแทน “เหล่าศิษย์ของตำหนักเทพกำลังต่อสู้กับชาวยุทธ์เหล่านั้น ข้าจึงถือโอกาสขึ้นเขามา”

อินชิงเสวียนหันไปด้านข้างแล้วถามว่า “ผู้นำทัพของตำหนักเทพเป็นใคร”

เย่จั้นกล่าวว่า “คือฉุยอวี้ เฟิงเอ้อร์เหนียง และสตรีแซ่เหมย”

อินชิงเสวียนพยักหน้า เหมยชิงเกอออกหน้าคราวนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมยิ่ง ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ตราบใดที่นางชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ก็จะมีบารมีเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

เมื่อมีศิษย์ตำหนักเทพจำนวนมาก การจัดการกับความวุ่นวายก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา

จากนั้นก็คิดถึงเรื่องอื่น จึงเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “อาอวี้ ท่านเห็นเย่จิ่งหลานบ้างไหม”

เย่จิ่งอวี้มองไปรอบๆ ทันที

“จิ่งหลานก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ ข้าไม่เห็นมีเด็กคนไหนเลย”

อินชิงเสวียนหัวเราะและพูดว่า “ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กแล้ว เขาสูงพอๆ กับท่านแล้ว”

เย่จิ่งอวี้รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ

“นี่...เป็นไปได้อย่างไร”

เย่จั้นยังถามอีกว่า “นี่เป็นเรื่องจริงหรือ”

ครั้นแล้วอินชิงเสวียนก็เล่าเรื่องที่เย่จิ่งหลานไปที่เกาะตงหลิวให้สองอาหลานฟังสั้นๆ ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน

พลังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของมนุษย์ได้จริงหรือ เปลี่ยนเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ได้ในทันที?

สิ่งนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน น่าตกใจจริงๆ

อินชิงเสวียนตะโกนไปรอบๆ “เย่จิ่งหลาน เจ้าได้ยินข้าหรือไม่ ออกมาพบพี่ชายกับอาของเจ้าหน่อย”

ทันใดนั้นช่องว่างด้านหน้าพวกเขาก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย และเย่จิ่งหลานก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน

แม้ว่าสองอาหลานจะรู้ว่าเขาพบเรื่องประหลาดมหัศจรรย์มา แต่จู่ๆ ก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงรูปหล่อ ดวงตาของทั้งคู่พลันไหววูบอย่างรุนแรง

เย่จั้นอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้า จับไหล่ของเย่จิ่งหลาน

“เจ้า...คือจิ่งหลานจริงๆ หรือ”

เย่จิ่งหลานยักไหล่และพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเจอตัวปลอมรับประกันเปลี่ยนสินค้าใหม่ จากคราวนี้นานหลายวัน เสด็จอาสิบสามยังคงสง่งามเหมือนเดิม ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

เย่จั้นยังคงมองเขาด้วยความดีใจ

แม้ว่าเขาจะไม่มีภาพจำกับหลานผู้นี้มากนัก แต่สามารถพบกันที่นี่ได้ ย่อมสนิทกว่าผู้อื่น

เย่จิ่งอวี้ก็ก้าวไปข้างหน้า เรียวตาหงส์เต็มไปด้วยความสุข

“สมแล้วที่เป็นน้องชายข้า อายุน้อยๆ ก็สามารถออกเดินทางไปยังตงหลิวได้ วันหน้าเมื่อได้กลับราชสำนัก ข้ามอบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”

เย่จิ่งหลานยกเสื้อคลุมขึ้นหมายจะแสดงความเคารพตามแบบกษัตริย์และขุนนาง แต่เย่จิ่งอวี้ห้ามไว้

“เจ้าและข้าเป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมารยาทเหล่านี้ ยามนี้ได้เห็นเจ้าเติบโตขึ้น ข้าที่เป็นพี่รู้สึกชื่นใจมาก ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงมาที่นี่”

เย่จิ่งหลานได้เล่าเรื่องที่ตัวเองเจอกับอินชิงเสวียนที่ตีนเขาให้เขาฟังสั้นๆ สุดท้ายก็มองไปที่อินชิงเสวียน

“ขอโทษนะ ไม่สามารถช่วยชีวิตเจ้าตำหนักจินได้ เขาเสียชีวิตแล้ว”

เย่จิ่งหลานหยิบตราหยกในตัวออกมา แล้วมอบให้อินชิงเสวียน

“นี่คงเป็นตราประทับของตำหนักเทพ เจ้าตำหนักจินกำชับไว้ก่อนตายโดยเฉพาะ ให้หวังซุ่นมอบสิ่งนี้ให้กับผู้อาวุโสเหมย”

อินชิงเสวียนยื่นมือออกมา แต่ไม่กล้าที่จะรับมัน ตราประทับนั้นเล็กเกินไป นางไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

เย่จิ่งหลานเหลือบมองนางอย่างสงสัย แล้ววางตราประทับไว้ในฝ่ามือของนาง

“เมื่อครู่ได้ยินเสด็จพี่บอกว่ามีชาวยุทธ์มาก่อเรื่องอยู่ที่เชิงเขา ข้าจะลงไปดูหน่อย”

หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบเขาก็ใช้ท่าร่าง บึ่งไปที่ประตูภูเขาอย่างรวดเร็ว

เขาไม่อยากเห็นคู่หนุ่มสาวทำตัวเลี่ยนๆ อยู่ตรงนี้ ในใจเขารู้สึกชอกช้ำจริงๆ

เมื่อเห็นย่างก้าวเร็วราวกับดาวตก สองอาหลานก็ตกใจอีกครั้ง

“ไม่ได้เจอไม่กี่วัน จิ่งหลานก็มีทักษะที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ ดังคำที่ว่า ไม่พบสามวัน ต้องมองมุมใหม่จริงๆ”

จากนั้นก็พูดว่า “คุณชายเย่ดีต่อชิงเสวียนมาก”

เหมยชิงเกอแค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อดี ทำไมเจ้าถึงให้ผู้อาวุโสหันลักพาตัวนางกับจ้าวเอ๋อร์มาที่นี่ได้”

“นี้...”

เฟิงเอ้อร์เหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าชิงเสวียนจะใช้วิธีการบางอย่าง ทำให้คุณชายเย่สูญเสียความทรงจำ”

เหมยชิงเกอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นั่นเป็นเพราะเขาไม่มีความสามารถ ถ้าเขามีความสามารถ ไยจึงปกป้องลูกและภรรยาไม่ได้”

เฟิงเอ้อร์เหนียงเหลือบมองเหมยชิงเกอแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่กล่าวเช่นนี้ออกจะรุนแรงไปหน่อย ในฐานะฮ่องเต้ คุณชายเย่วางแผนบริหารจัดการแผ่นดิน ทำให้ราษฎรเป็นสุข ได้ยินว่าเขาเพิ่งเข้าไปในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ได้ครึ่งทาง วรยุทธ์ของเขาจะเทียบเคียงกับผู้อาวุโสหันได้อย่างไร”

เหมยชิงเกอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนที่เขาช่วยชิงเสวียน เจ้าก็คงเห็นแล้ว เขาสามารถบดขยี้ผู้อาวุโสหันให้ตายได้ด้วยมือเปล่า วรยุทธ์จะยังแย่อยู่งั้นหรือ”

เฟิงเอ้อร์เหนียงพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร

แต่มักคิดอยู่เสมอว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนผัวเมียต้องลึกซึ้งมาก ไม่เช่นนั้นอินชิงเสวียนคงไม่ยอมทนทุกข์ทรมานแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่ให้เย่จิ่งอวี้มาเข้าร่วม

ศิษย์พี่พูดไม่เข้าหู สถานการณ์จึงตกอยู่ในความเงียบ

ในเวลานี้ มีสามร่างเหาะมาแต่ไกล และลงมาอยู่ข้างๆ เหมยชิงเกอ

“ชิงเสวียน เจ้ามาได้อย่างไร เมื่อครู่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

เฟิงเอ้อร์เหนียงถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“ขอบคุณผู้อาวุโสเฟิงที่เป็นห่วง ข้าสบายดี”

อินชิงเสวียนตอบด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดกับเย่จิ่งอวี้ “อาอวี้ คารวะผู้อาวุโสเหมยสิ”

เย่จิ่งอวี้ยังคงไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างอินชิงเสวียนกับเหมยชิงเกอ แต่หญิงสาวพูดเช่นนี้ จะต้องมีเจตนาของนางแน่ๆ

จึงประกบมือค้อมคำนับทันที

“ผู้เยาว์เย่จิ่งอวี้ น้อมคำนับผู้อาวุโสเหมย”

ดวงตาของเหมยชิงเกอกวาดไปทั่วใบหน้าของเขา เมื่อเห็นว่าเขาหล่อเหลา ท่วงท่าไม่ธรรมดา นางก็นึกถึงเฮ่อยวนทันที

ในปีนั้นเขาก็สูงตระหง่านดั่งต้นหยกต้านลม สง่างามองอาจ น่าเสียดายที่คำโกหกทั้งหมดเป็นเพียงคำหวานล่อลวง ไม่ควรค่าให้เชื่อเลย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์