อินชิงเสวียนเห็นเงาสีขาวรางๆ ก็รู้ว่าเย่จั้นกำลังมา
“พวกเราไม่เป็นไร สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
เย่จิ่งอวี้หันกลับมาถาม
เขารู้อยู่แล้วว่าครั้งนี้เย่จิ่งอวี้ปลอมตัวออกนอกวัง เย่จั้นจึงไม่ได้คุกเข่าโค้งคำนับ แต่ประกบมือคำนับแทน “เหล่าศิษย์ของตำหนักเทพกำลังต่อสู้กับชาวยุทธ์เหล่านั้น ข้าจึงถือโอกาสขึ้นเขามา”
อินชิงเสวียนหันไปด้านข้างแล้วถามว่า “ผู้นำทัพของตำหนักเทพเป็นใคร”
เย่จั้นกล่าวว่า “คือฉุยอวี้ เฟิงเอ้อร์เหนียง และสตรีแซ่เหมย”
อินชิงเสวียนพยักหน้า เหมยชิงเกอออกหน้าคราวนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมยิ่ง ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ตราบใดที่นางชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ก็จะมีบารมีเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
เมื่อมีศิษย์ตำหนักเทพจำนวนมาก การจัดการกับความวุ่นวายก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา
จากนั้นก็คิดถึงเรื่องอื่น จึงเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “อาอวี้ ท่านเห็นเย่จิ่งหลานบ้างไหม”
เย่จิ่งอวี้มองไปรอบๆ ทันที
“จิ่งหลานก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ ข้าไม่เห็นมีเด็กคนไหนเลย”
อินชิงเสวียนหัวเราะและพูดว่า “ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กแล้ว เขาสูงพอๆ กับท่านแล้ว”
เย่จิ่งอวี้รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ
“นี่...เป็นไปได้อย่างไร”
เย่จั้นยังถามอีกว่า “นี่เป็นเรื่องจริงหรือ”
ครั้นแล้วอินชิงเสวียนก็เล่าเรื่องที่เย่จิ่งหลานไปที่เกาะตงหลิวให้สองอาหลานฟังสั้นๆ ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน
พลังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของมนุษย์ได้จริงหรือ เปลี่ยนเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ได้ในทันที?
สิ่งนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน น่าตกใจจริงๆ
อินชิงเสวียนตะโกนไปรอบๆ “เย่จิ่งหลาน เจ้าได้ยินข้าหรือไม่ ออกมาพบพี่ชายกับอาของเจ้าหน่อย”
ทันใดนั้นช่องว่างด้านหน้าพวกเขาก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย และเย่จิ่งหลานก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
แม้ว่าสองอาหลานจะรู้ว่าเขาพบเรื่องประหลาดมหัศจรรย์มา แต่จู่ๆ ก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงรูปหล่อ ดวงตาของทั้งคู่พลันไหววูบอย่างรุนแรง
เย่จั้นอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้า จับไหล่ของเย่จิ่งหลาน
“เจ้า...คือจิ่งหลานจริงๆ หรือ”
เย่จิ่งหลานยักไหล่และพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเจอตัวปลอมรับประกันเปลี่ยนสินค้าใหม่ จากคราวนี้นานหลายวัน เสด็จอาสิบสามยังคงสง่งามเหมือนเดิม ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ”
เย่จั้นยังคงมองเขาด้วยความดีใจ
แม้ว่าเขาจะไม่มีภาพจำกับหลานผู้นี้มากนัก แต่สามารถพบกันที่นี่ได้ ย่อมสนิทกว่าผู้อื่น
เย่จิ่งอวี้ก็ก้าวไปข้างหน้า เรียวตาหงส์เต็มไปด้วยความสุข
“สมแล้วที่เป็นน้องชายข้า อายุน้อยๆ ก็สามารถออกเดินทางไปยังตงหลิวได้ วันหน้าเมื่อได้กลับราชสำนัก ข้ามอบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”
เย่จิ่งหลานยกเสื้อคลุมขึ้นหมายจะแสดงความเคารพตามแบบกษัตริย์และขุนนาง แต่เย่จิ่งอวี้ห้ามไว้
“เจ้าและข้าเป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมารยาทเหล่านี้ ยามนี้ได้เห็นเจ้าเติบโตขึ้น ข้าที่เป็นพี่รู้สึกชื่นใจมาก ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงมาที่นี่”
เย่จิ่งหลานได้เล่าเรื่องที่ตัวเองเจอกับอินชิงเสวียนที่ตีนเขาให้เขาฟังสั้นๆ สุดท้ายก็มองไปที่อินชิงเสวียน
“ขอโทษนะ ไม่สามารถช่วยชีวิตเจ้าตำหนักจินได้ เขาเสียชีวิตแล้ว”
เย่จิ่งหลานหยิบตราหยกในตัวออกมา แล้วมอบให้อินชิงเสวียน
“นี่คงเป็นตราประทับของตำหนักเทพ เจ้าตำหนักจินกำชับไว้ก่อนตายโดยเฉพาะ ให้หวังซุ่นมอบสิ่งนี้ให้กับผู้อาวุโสเหมย”
อินชิงเสวียนยื่นมือออกมา แต่ไม่กล้าที่จะรับมัน ตราประทับนั้นเล็กเกินไป นางไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
เย่จิ่งหลานเหลือบมองนางอย่างสงสัย แล้ววางตราประทับไว้ในฝ่ามือของนาง
“เมื่อครู่ได้ยินเสด็จพี่บอกว่ามีชาวยุทธ์มาก่อเรื่องอยู่ที่เชิงเขา ข้าจะลงไปดูหน่อย”
หลังจากที่เย่จิ่งหลานพูดจบเขาก็ใช้ท่าร่าง บึ่งไปที่ประตูภูเขาอย่างรวดเร็ว
เขาไม่อยากเห็นคู่หนุ่มสาวทำตัวเลี่ยนๆ อยู่ตรงนี้ ในใจเขารู้สึกชอกช้ำจริงๆ
เมื่อเห็นย่างก้าวเร็วราวกับดาวตก สองอาหลานก็ตกใจอีกครั้ง
“ไม่ได้เจอไม่กี่วัน จิ่งหลานก็มีทักษะที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ ดังคำที่ว่า ไม่พบสามวัน ต้องมองมุมใหม่จริงๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...