ครั้นเห็นดวงตาที่กำลังจะร้องไห้ของเหมยชิงเกอ อินชิงเสวียนก็กัดริมฝีปากล่าง
ถ้าเป็นเจ้าของร่างเดิมที่อยู่ที่นี่ นางจะทำอย่างไรนะ
ที่เหมยชิงเกอละเลยเย่จิ่งอวี้โดยเจตนา ทำให้อินชิงเสวียนไม่พอใจ แต่เมื่อนางคิดถึงการทรมานกว่าสิบปีที่นางต้องทนทุกข์ทรมานในผาเฟิงเริ่น และตอนที่เพิ่งพานางเข้าไปในมิตินั้น นางดูอ่อนแอและแก่ชราแค่ไหน หัวใจของอินชิงเสวียนหัวใจก็ค่อยๆ อ่อนลง
เมื่อนึกถึงพฤติกรรมน่าเกลียดของเฮ่อยวน ที่มีสัมพันธ์กับหญิงอื่นลับหลังกงซวินอวิ๋นเฟิ่ง อินชิงเสวียนก็รู้สึกเห็นใจเหมยชิงเกอทันที
นางดึงเหมยชิงเกอไว้ ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเหมยกรุณาเชื้อเชิญ เช่นนั้นเคารพมิสู้ทำตาม ข้าจะอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน”
เหมยชิงเกอแสดงสีหน้ายินดีทันที
“ดีมาก เรารีบกลับขึ้นเขากันเถอะ”
เหมยชิงเกอจับมือของอินชิงเสวียน
อินชิงเสวียนหันไปหาเย่จิ่งอวี้ แล้วพูดว่า “อาอวี้ อยู่กับข้าอีกสองสามวันนะ”
ดวงตาของเย่จิ่งอวี้เต็มไปด้วยความรัก เขาพูดอย่างอบอุ่น “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเสวียนเอ๋อร์”
ขณะที่พวกเขาจากไป ร่างของฉางเฮิ่นเทียนก็หายวับออกมาจากก้อนหิน ดวงตามืดมนเคลือบคลุม ไม่แน่นอน
เดิมทีข้าต้องการอาศัยต้นไม้อย่างผู้อาวุโสหัน เพื่อฟื้นฟูพลังในตำหนักเทพอย่างปลอดภัย แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพินาศเร็วขนาดนี้
และเมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ก็มาที่นี่ ความเกลียดชังยิ่งพลุ่งพล่านในดวงตา
จากนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นอีก
ก็ดี ถึงอย่างไรร่างกายนี้มีพรสวรรค์ต่ำมาก มีภาชนะอย่างการฝังโลหิตมาส่งถึงที่ บางทีอาจใช้โอกาสนี้ช่วงชิงร่างกายของเขามาได้...
เขายกมุมปากขึ้น แล้วหายไปทันที
ในเวลานี้ เย่จิ่งหลานก็เดินไปที่แท่นบันได และสองอาหลานเย่จิ่งอวี้ก็ยืนอยู่ด้วยกัน
“จะขึ้นเขาหรือไม่”
“อื้ม จิ่งหลานมีธุระอะไรหรือเปล่า”
เย่จิ่งอวี้ถามพลางเหลือบมองไปที่ด้านข้าง
เย่จิ่งหลานยักไหล่
“ไม่มีอะไร”
หลังจากพูดแล้ว เขาก็มองไปที่เย่จั้นอีกคน
“มีคนหนึ่ง เสด็จอาต้องอยากเจอแน่ๆ”
หัวใจของเย่จั้นเต้นรัว
“หรือว่าเจ้าอจออินหลีแล้ว?”
เย่จิ่งอวี้ก็มองไปที่เย่จิ่งหลานเช่นกัน
เมื่อมาถึงเทือกเขาเชื่อมเมฆา เย่จิ่งอวี้ก็รีบมาหาอินชิงเสวียนด้วยความกระวนกระวายใจ เขากับเสด็จอาไม่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลอะไรมากมาย จึงไม่รู้ว่าอินหลีอยู่ในตำหนักเทพ
เย่จิ่งหลานยกนิ้วให้ทันที
“สมแล้วที่เป็นเสด็จอา พูดคำเดียวก็เข้าใจทันที”
เย่จั้นหยุดชะงัก ถามอย่างตื่นเต้น “นางอยู่ที่ไหน”
เย่จิ่งหลานเอามือไพล่หลังแล้วพูดว่า “อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย ประเดี๋ยวจะให้เสด็จอาไปพบทีหลัง”
หัวใจของเย่จั้นกำลังสั่นเทา แต่ยังคงระงับความเร่งด่วนในใจ
นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะพูดคุยจริงๆ
จากนั้นก็ประกบมือคำนับไปทางเย่จิ่งหลาน
“ขอร้องล่ะ”
เย่จิ่งหลานหันกลับมา พูดด้วยรอยยิ้ม “เสด็จอาเกรงใจไปแล้ว”
เย่จิ่งอวี้กวาดสายตาทั่วใบหน้า ทันใดนั้นก็พบไฝสีแดงที่หว่างคิ้วของเย่จิ่งหลานทันที มันมีขนาดเท่าเมล็ดงา เป็นสีสดยิ่ง
เพราะตัวเองถูกบ่มเพาะการฝังโลหิตไว้ เย่จิ่งอวี้จึงไวต่อสีแดงเป็นพิเศษ คิ้วหนาขมวดมุ่นเล็กน้อย
“ที่หว่างคิ้วของจิ่งหลาน มีไฝนี้มาตลอดเลยหรือ”
เย่จิ่งหลานหัวเราะแห้งๆ
“ใช่ มีมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่เมื่อก่อนไม่ชัดเจน บางทีอาจเป็นเพราะข้าโตขึ้น ไฝก็เปลี่ยนไปด้วย”
เย่จิ่งอวี้มองอีกครั้ง ม่านตาสั่นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเขาจะมองเห็นพรายเงาง้าวเงากระบี่ผ่านไฝสีแดงอยู่ครู่หนึ่ง และซากศพที่ฝังอยู่ในทะเลเลือด...
“เสด็จพี่?”
เย่จิ่งหลานรู้สึกไม่สบายใจเมื่อถูกเขาจ้องมอง จึงเรียกขึ้นอย่างอดไม่ได้
เย่จิ่งอวี้รู้สึกตัวขึ้นมาทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...