ชายผู้นี้ให้กลิ่นอายอันสุขุมเยือกเย็น แค่มองแวบแรกก็รู้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว
เย่จิ่งอวี้รู้ว่าที่นี่มีทั้งคนดีคนเลวปะปนกันมั่ว ยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน จึงช่วยพยุงขอทานน้อยขึ้นมา และหยิบแท่งเงินมูลค่าสิบตำลึงออกมาจากแขนเสื้อ
“เอาเงินนี้ไปซื้อเสื้อผ้าซื้อของกินนะ ไปเถอะ”
ขอทานน้อยไม่เคยเห็นแท่งเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้มาก่อน จากเดิมที่ร้องไห้โอดโอย เพียงวิบตาหยาดน้ำตาก็แห้งเหือดไป เขาประคองแท่งเงินด้วยสองมือ คุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวขอบคุณซ้ำๆ
เมื่อเห็นว่าหลายคนกำลังมองดูเงินในมือขอทานน้อย เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
อย่างคำที่ว่าอย่าอวดร่ำรวย เงินจำนวนนี้ไม่น้อยเลยจริงๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจอยู่ในใจ ไม่รู้ว่านี่จะเป็นการทำร้ายเขาหรือไม่
แต่เขาที่อยู่ในฐานะฮ่องเต้ เมื่อได้สละเงินของตัวเองแล้ว ย่อมไม่สามารถเอาคืนได้ ในขณะที่กำลังจะไปส่งขอทานน้อย ขอทานน้อยกลับคุกเข่าลงดังตุบ
“ขอบคุณคุณชายมากขอรับ ข้าน้อยไม่มีพ่อแม่ ขอคุณชายได้โปรดรับไว้ด้วย ข้าน้อยทำได้ทุกอย่าง ขอแค่คุณชายให้อาหารกิน จะเป็นวัวเป็นม้า ข้าน้อยก็ไม่บ่นเลย”
เมื่อเห็นว่าเขาอายุเพียงเจ็ดแปดขวบ เย่จิ่งอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเย่จิ่งหลาน ในใจเกิดรู้สึกสงสารขึ้นมา
เอาเถอะ ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วัน ก็จะกลับเมืองหลวงแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยจัดที่ทางให้เขาไปอยู่ที่ตระกูลอิน
เสวียนเอ๋อร์มีจิตใจดี ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
เขายื่นมือออกไปช่วยพยุงขอทานน้อย พยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่มีอะไรต้องพะวง งั้นข้าจะรับเจ้าไว้ เราไปกันเถอะ”
เย่จิ่งอวี้หันหลังกลับและกำลังจะจากไป ทันใดนั้นก็มีชายร่างใหญ่อีกสองคนออกจากเหลาสุรา และม้วนตัวลงมายืนขวางหน้าพวกเขา
“คุณชายน้อยเหตุใดจึงรีบร้อนจากไปเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าร่ำรวยขนาดนี้ งั้นก็เอาออกมาอีกหน่อย ให้พวกเราเอาไปดื่มกินกัน ดีหรือไม่”
คนหนึ่งเมามากจนหน้าแดง ยามที่พูดได้กลิ่นสุราและกลิ่นเหม็นเปรี้ยวตีขึ้นจมูก ทำให้คนรู้สึกคลื่นไส้
เย่จิ่งอวี้ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แผ่นหลังก็บังเอิญไปปะทะกับชายคนก่อนหน้านี้
ในเวลานี้ กลุ่มคนที่เฝ้าดูความตื่นเต้นได้รวมตัวกันอยู่รอบๆ เหลาสุรา เย่จิ่งอวี้ไม่มีทางไป ทำได้เพียงหยุดชะงัก
ชายคนนั้นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ซึ่งดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็กวาดไปทั่วใบหน้าของเขาเช่นกัน
ชายผู้นี้อยู่ในวัยสี่สิบเศษ หน้าตาหล่อเหลา สายตาเฉียบคม ใบหน้าสมส่วน ดูมีคุณธรรม จริยธรรมสูงส่ง
ทั้งสองพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทาย
ชาวยุทธ์ที่เล่นงานขอทานน้อยคนก่อนหน้านี้ ก็เริ่มหงุดหงิด ด่าสาดเสียเทเสีย “พวกแกเป็นใครหน้าไหน ถึงกล้าเข้ามายุ่งเรื่องของข้า หากรู้ตัวก็รีบไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ ถ้าทำให้ข้าหงุดหงิด ศพแกไม่สวยแน่”
ชายวัยกลางคนพูดอย่างสงบ “ผู้ฝึกยุทธ์ควรถือเป็นหน้าที่ของตนเองในการผดุงความยุติธรรม เจ้าปฏิบัติต่อเด็กคนหนึ่งเช่นนี้ ช่างเขตต่อเจตนาดั้งเดิมในการฝึกวรยุทธ์จริงๆ หากใต้หล้านี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเช่นเจ้า ในยุทธภพจะมีความยุติธรรมเกิดขึ้นอีกหรือไม่”
น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าว ดังกังวานเหมือนระฆังใหญ่ อันหนักแน่นและทรงพลัง
เย่จิ่งอวี้อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า สิ่งที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผลมาก ทำให้คนคล้อยตามได้ง่าย
ชาวยุทธ์ผู้นั้นทำเหมือนได้ยินเรื่องน่าขัน หัวเราลั่นแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดีอย่างไรมายุ่งกับเรื่องของข้า กินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไรถึงได้กล้าขนาดนี้ รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร พวกเราเป็นคนของสำนักอวิ๋นซาน กล้ายั่วโมโหข้า พวกเจ้าทั้งโคตรเหง้าได้ตายหมดแน่”
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเย่จิ่งอวี้พูดอย่างไม่อดทน “พี่สาม อย่าพูดไร้สาระกับพวกเขา รีบลงมือไปแย่งเอาเงินมาเถอะ เราจะได้เอาไปดื่มกัน”
“ถูกต้อง ให้ข้าฆ่าคนบ้าผู้นี้ก่อน”
คนที่หน้าประตูโบกมือ เดินตรงไปหาชายวัยกลางคน ท่าทางดุดันราวกับวัว
คนที่เหลืออีกสองคนก็พุ่งไปหาเย่จิ่งอวี้ทันที เย่จิ่งอวี้ขยิบตาให้ไป๋เสวี่ยที่กำลังนั่งจ๋องอยู่ไกลๆ บอกมันว่าอย่าออกมา จากนั้นชี้นิ้วออกมา ชี้ตรงไปที่อกของผู้ที่เดินนำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...