เหมยชิงเกอขมวดคิ้ว
“คนเหล่านี้ล้วนคลุ้มคลั่งเสียสติเพราะเข้ามาทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ หากสามารถทำลายสิ่งนี้ได้ บางทีคนเหล่านี้อาจจะฟื้นคืนสติขึ้นมา”
อาคันตุกะกู่เทียนกลับมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป
“นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเจ้าตำหนักเหมย หากหินก้อนนี้ก่อความวุ่นวายจริงๆ ทำไมตั้งแต่อิ๋นเฉิงเข้ามาดูแลตั้งนานหลายปีขนาดนี้ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในความคิดของข้า เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง”
เขาหยุดแล้วกล่าวว่า “ข้าบังอาจคาดเดาว่า อาจมีเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นจุดเริ่มต้น หรืออาจมีอุปสรรคบางอย่างเกิดขึ้น จึงนำไปทางสู่วิถีแห่งสวรรค์อีกด้านหนึ่งก็เป็นได้ สิ่งของนี้อาจจะทำให้ความเกลียดชังและความอยากได้ของมนุษย์เพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเสียสติ”
ดวงตาของเหมยชิงเกอหรี่ลงเล็กน้อย
สิ่งที่ผู้อาวุโสกู่พูด ค่อนข้างมีเหตุผลอยู่บ้าง อย่างน้อยกงซวินอวิ๋นเฟิ่งก็ไม่เป็นอะไร ความโกรธแค้นชิงในใจของนาง เกรงว่าจะไม่มีผู้ใดมีความรู้สึกเหล่านี้มากกว่านางอีกแล้ว
เฮ่อยวนพยักหน้า เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้อาวุโสฉางและกู่เทียนพูด
หากมีวิธีการกำจัดวิญญาณชั่วร้ายนี้ เฮ่อยวนย่อมไม่ต้องการทำลายมันอยู่แล้ว
แม้ว่าการดำรงอยู่ของมันจะไม่มีบทบาทมากนัก แต่ก็ยังฝังลึกอยู่ในใจของลูกศิษย์ทุกคน มันได้กลายเป็นเสาหลักแห่งจิตใจของพวกเขาแล้ว ความสำคัญของทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ในอิ๋นเฉิง ก็เหมือนกับธิดาเทพของตำหนักเทพ ที่จำเป็นต้องมี
ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีศิษย์อิ๋นเฉิงก็พอใจกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว เมื่อใดที่เสาหลักแห่งจิตใจนี้หายไป เกรงว่าทุกคนจะปล่อยวางทางวรยุทธ์
เฮ่อยวนไม่มีอคติกับการศึกษา ถึงขั้นเต็มใจให้ศิษย์อิ๋นเฉิงได้ตั้งใจศึกษาอย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตาม การเรียนไม่สามารถปกป้องครอบครัวและบ้านเมืองได้ ยิ่งไม่สามารถต่อสู้สังหารศัตรูได้
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ของตระกูลเฮ่อ เดิมทีอิ๋นเฉิงไม่ได้เป็นกลุ่มชาวยุทธ์ บรรพบุรุษหกรุ่นทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ขุนนางในราชสำนัก ช่วยเหลือกษัตริย์ ต่อมาเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ว่ากันว่าต้าโจวเกือบจะถูกทำลายทั้งแคว้น ตระกูลเฮ่อทั้งครอบครัวสามร้อยแปดสิบหกคน มีเพียงสามคนเท่านั้นที่รอดชีวิต จากนั้นมาจึงหลบไปอาศัยอยู่อย่างสันโดษที่มุมหนึ่ง ก่อตั้งเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง นับแต่นั้นก็ละทิ้งด้านวรรณกรรมและมุ่งสู่วรยุทธ์
สำหรับภัยพิบัติประเภทใดนั้น ตามบันทึกไม่ได้กล่าวถึง เฮ่อยวนก็ไม่เคยเจาะลึกศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ยังคงยึดมั่นในปณิธานของผู้นำตระกูลมาโดยตลอด แม้ว่าในอิ๋นเฉิงจะเหลือเขาเพียงคนเดียว ก็จะยังฝึกฝนวรยุทธ์ต่อไป
อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย นางค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดของแม่ แต่ก็เข้าใจว่าที่ทางสู่วิถีแห่งสวรรค์ดำรงมาจนถึงทุกวันนี้ อาจยังมีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น นอกจากนี้ นางกับเย่จิ่งอวี้ไม่ได้เป็นชาวยุทธ์ เรื่องระหว่างสำนักต่างๆ หากถามมากเกินไปเกรงว่าจะไม่ดี
เย่จิ่งอวี้เหลือบมองวิถีแห่งสวรรค์ ด้วยนัยน์ตาที่ฉายแววเป็นกังวล
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
รอๆๆ กลับมาอัพต่อค่ะ น่าจะใกล้จบแล้ว...
ไม่อัพต่อแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลย อินชิงเสวียนถูกจับแบบนี้จะมีใครมาช่วยได้บ้าง...
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...