อินชิงเสวียนถูกอวิ๋นฉ่ายปลุกให้ตื่น
“พี่ใหญ่ ถึงเวลากินข้าวแล้ว”
อินชิงเสวียนยังคงงุนงงเล็กน้อย หลังจากมองท้องฟ้าครู่หนึ่ง จึงจำได้ว่าตัวเองกลับมาที่วังเย็นแล้ว
“เสี่ยวหนานเฟิงอยู่ที่ไหน”
“อยู่นี่!”
ยายหลี่รีบอุ้มเด็กขึ้นมา
เสี่ยวหนานเฟิงชี้นิ้วเล็กจ้อยไปที่อินชิงเสวียน แล้วก็พูดอ้อแอ้ไม่หยุด
อินชิงเสวียนเอื้อมมือออกไปรับเด็ก แล้วพูดด้วยท่าทางขอโทษ “ขอโทษจริงๆ พ่อเผลอหลับไป”
“เฮ้อ”
เสี่ยวหนานเฟิงดูเหมือนจะเข้าใจ เขายื่นมือเล็กๆ ออกไปสัมผัสใบหน้าของอินชิงเสวียน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สอดสองนิ้วเข้าไปในจมูกของอินชิงเสวียน
อินชิงเสวียนคันจมูก ก็อดไม่ได้ที่จะจาม แล้วเจ้าหมาน้อยก็เริ่มหัวเราะ
ยายหลี่วางถาดเกี๊ยวลง เมื่อเห็นเกี๊ยวร้อยๆ ที่มีควันฉุย อินชิงเสวียนรู้สึกเหมือนกำลังฉลองตรุษจีนแปลกๆ
นางเป็นคนจีนทางเหนือ ตรุษจีนทุกปีจะต้องกินเกี๊ยว เมื่อนึกถึงการนับถอยหลังข้ามปีกับย่า ดูรายการข้ามปี อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
อวิ๋นฉ่ายเตรียมถ้วยออกมาใส่ซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูดำทั้งหมดแล้ว
จากนั้นทั้งสามคนก็นั่งล้อมวง และในขณะที่กำลังจะกินข้าว ไป๋เสวี่ยก็วิ่งเข้ามาจากข้างนอก นั่งบนพื้นและยกขาหน้าขึ้น
อินชิงเสวียนรู้สึกงุนงงอยู่พักหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ประตู
แล้วก็ร่างสูงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ซึ่งนั่นคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เย่จิ่งอวี้
ยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายตกใจ รีบวางตะเกียบลง คุกเข่าลงคำนับ
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
อินชิงเสวียนขบกรามแน่น นใจรู้สึกอึดอัดมาก เดิมทีก็อยากกินเกี๊ยวอยู่หรอก แต่เมื่อมีฮ่องเต้ยืนอยู่ข้างๆ ใครจะกินลง
นางขมวดคิ้ว อุ้มลูกแล้วทำเป็นหาว และโค้งคำนับอย่างไม่เต็มใจนัก “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”
วันนี้เย่จิ่งอวี้อารมณ์ดี
การมาถึงของโหวเหนือไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาของเจียงวูเท่านั้น แต่ยังลดอำนาจของโหวเหนือด้วย แม้ว่าเย่จิ่งเย่าจะมีกลอุบายอื่น แต่เขาก็มีวิธีที่จะรับมือ
ประกอบกับเรื่องการแสดงศิลปะต่อสู้ก็ดูเข้าเค้าแล้ว เย่จิ่งอวี้จึงรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
ในตอนที่พระอาทิตย์กำลังตก อากาศเย็นสบาย เขาจึงพาไป๋เสวี่ยออกไปเดินเล่น แต่ไม่นึกว่าเจ้าสุนัขตัวนี้พอออกจากประตูก็ตรงมายังวังเย็นแห่งนี้
เย่จิ่งอวี้ไม่ได้นำผู้ติดตามมาด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องตามมันมา
แล้วอวิ๋นฉ่ายและยายหลี่ก็ยืนขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นทั้งสองก็ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความนอบน้อม
อินชิงเสวียนรู้ว่าทั้งสองคนก็หิวเหมือนกัน ดังนั้นนางจึงหยิบเกี๊ยวขึ้นมา แล้วพูดกับพวกนางว่า “พวกเจ้าสองคนไปกินที่ห้องโถงด้านข้างเถอะ ข้าจะรับใช้ฝ่าบาทเอง”
“เอ่อ...”
พวกยายหลี่ทั้งสองคนถือจาน แต่พวกนางไม่กล้าขยับ
เย่จิ่งอวี้จึงพยักหน้าให้ทั้งสองคน
“ไปเถอะ ให้เสี่ยวเสวียนจื่ออยู่กับข้าก็พอ”
ยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายต่างก็กลัวฮ่องเต้มาก พวกนางต่างก็วิ่งไปพร้อมกับเกี๊ยวทันที ราวกับว่าพวกนางได้รับการนิรโทษกรรม
อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงนั่งบนม้านั่งหินข้างๆ
“ฝ่าบาท ต้องการเสวยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้ไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “ถ้าพอให้พวกเจ้ากิน ข้าก็อยากลองชิมดู”
ชิ ตะกละก็ตะกละไปสิ ทำไมต้องพูดจาสูงส่งปานนั้น
อินชิงเสวียนหยิบตะเกียบคู่หนึ่งส่งให้เย่จิ่งอวี้ แล้ววางซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูดำที่ผสมแล้วไว้ตรงหน้าเขา
“เกี๊ยวต้องจุ่มลงในน้ำปรุงรสนี้ ถึงจะอร่อยขึ้น”
หลังจากพูดจบก็หยิบเกี๊ยวขึ้นมา กัดคำหนึ่ง แล้วจุ่มในชามที่ใส่ซีอิ๊วและน้ำส้มสายชูดำ
ไป๋เสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็กระวนกระวาย เกาะแข้งเกาะขาของอินชิงเสวียนแล้วครางหงิงๆ ไม่หยุด อินชิงเสวียนทนไม่ไหว นางจึงโยนเกี๊ยวให้มันชิ้นหนึ่ง
เสี่ยวหนานเฟิงในอ้อมแขนของนางก็กระวนกระวายเช่นกัน สองมือน้อยๆ คว้าเสื้อของอินชิงเสวียน อ้าปากเล็กๆ จะกัดตะเกียบเข้าปาก
เมื่อเห็นเด็กร้อนใจจนน้ำลายไหล เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้ว
“ทำไมไม่ให้เขากินล่ะ”
“เด็กตัวเล็กเท่านี้ จะกินของแบบนี้ได้อย่างไร ฝ่าบาทประทานแพะตัวเมียให้ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวค่อยให้เขาดื่มนมแพะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...