อินชิงเสวียนไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไร ดังนั้นนางสะบัดเสื้อคลุมคุกเข่าลงทันที
“ขอบพระทัยสำหรับความเมตตาของฝ่าบาท กระหม่อมเป็นเพียงขันทีตัวเล็กๆ มีคุณสมบัติไปนั่งบนพระที่นั่งหงส์ได้อย่างไร เป็นเพราะอาศัยบารมีของเสี่ยวหนานเฟิงล้วนๆ”
แล้วจึงอาศัยจังหวะที่อินชิงเสวียนก้มศีรษะ เย่จิ่งอวี้รีบจูบแก้มเสี่ยวหนานเฟิงเร็วๆ จากนั้นแสร้งทำเป็นไม่แยแสและพูดว่า “ลุกขึ้นเถอะ ข้าแค่ถามไปอย่างนั้นเอง เจ้าไม่ต้องตกประหม่า”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
อินชิงเสวียนลูบเข่ายืนขึ้น แต่เห็นเสี่ยวหนานเฟิงหัวเราะเบาๆ จับมือของเย่จิ่งอวี้ และเล่นกับธำมรงค์หยกบนนิ้วหัวแม่มือของเขา
“เอ่อ...ลูกของกระหม่อมค่อนข้างซุกซน ให้กระหม่อมอุ้มดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง ที่ข้ารั้งเจ้าไว้เพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้า”
เย่จิ่งอวี้มองดูมืออ้วนจ้ำม่ำของเสี่ยวหนานเฟิง แล้วมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้ม
จากนั้นก็ตีหน้านิ่ง พูดอย่างเคร่งขรึม “พรุ่งนี้ครบกำหนดสิห้าวันถึงสัปดาห์การแสดงยุทธ์แล้ว ไม่เพียงแต่ข้าจะไปดูเท่านั้น แต่ยังจะเชิญขุนนางในราชสำนักไปดูด้วย เจ้าห้ามทำให้ให้ข้าอับอายเด็ดขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะต้องชนะอย่างงดงามแน่นอน”
เมื่อนึกถึงโกลนม้าเหล่านั้น อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้ว เกรงว่านางคงต้องออกจากวังไปคำแนะนำบางอย่างหน่อย แต่นางก็เป็นห่วงเสี่ยวหนานเฟิง นับตั้งแต่นางออกจากวังเย็น อินชิงเสวียนมักจะรู้สึกว่าไม่มีที่ใดปลอดภัยเลย
“เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”
เย่จิ่งอวี้หันไปมองอินชิงเสวียน นัยน์ตาคลุมเครือ
อินชิงเสวียนกล่าวตามตรง “กระหม่อมต้องออกนอกวังไปกำชับสวีเหลียงและจังเถี่ยสักหน่อย แต่ก็เป็นห่วงเสี่ยวหนานเฟิงพ่ะย่ะค่ะ”
เย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าได้ส่งทหารรักษาพระองค์มาเฝ้าที่นี่แล้ว หากไม่ได้รับคำสั่งจากข้า ผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท เช่นนั้นกระหม่อมก็วางใจแล้ว ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กระหม่อมขอทูลลาออกจากวังเดี๋ยวนี้”
เนื่องจากเย่จิ่งอวี้คิดอย่างรอบคอบแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีก สิ่งที่นางควรทำตอนนี้คือการหาทางไปค้นหาว่าอินสิงอวิ๋นอยู่ที่ใด และเหตุใดตระกูลอินจึงก่อกบฏอย่างฉับพลัน และเข้าไปเกี่ยวข้องกับราชวงศ์เจียงวูได้อย่างไร
เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ได้ ข้าจะให้ฉินเทียนและหลี่ฉีไปกับเจ้า”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมจะออกไปเดี๋ยวนี้”
อินชิงเสวียนแทบรอไม่ไหวที่จะออกไปข้างนอก
เมื่อมองดูแผ่นหลังของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกหดหู่ใจ
เมื่อไม่ชอบอยู่ในวัง ทำไมวันนั้นถึงวางยาเขา ไม่คิดเลยหรือว่าเขาจะได้เป็นฮ่องเต้
หรือว่า...นางมองเย่จิ่งเย่าในแง่ดีมากกว่าเขา
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหลี่เต๋อฝูตะโกนจากข้างนอก “ฝ่าบาท หมอหลวงจังมาถึงแล้ว”
เย่จิ่งอวี้ระงับความโกรธขึ้งในแววตา แล้วใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็กลับมาเป็นปกติ
“ให้เขาเข้ามา”
ไม่นานนัก หมอหลวงเฒ่าก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
“กระหม่อมจังเกาถวายบังคมฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นพูดเถิด”
เย่จิ่งอวี้วางเสี่ยวหนานเฟิงไว้บนตัก แล้วถามเรียบๆ “อันผิงอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงจังลุกขึ้น ไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะอันผิงอ๋องป่วยด้วยโรคประหลาด ก็คงเป็นเพราะกระหม่อมไม่เชี่ยวชาญพอ ชีพจรของท่านอ๋องเต้นเป็นปกติและมีพลัง กระหม่อมตรวจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ตรวจไม่เจออาการป่วย”
เย่จิ่งอวี้คาดไว้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ จึงพยักหน้ากล่าวว่า “เอาล่ะ ท่านกลับไปก่อน ให้คนส่งยาไปที่จวนอ๋อง เพื่อแสดงน้ำใจของข้าด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”
หลังจากที่หมอหลวงจังออกไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็วางเสี่ยวหนานเฟิงบนเตียงนวมยาวนุ่มๆ
เสี่ยวหนานเฟิงปล่อยพู่ทันที แล้วดึงเท้าน้อยๆ ของตัวเองมาเล่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...