เมื่อเห็นว่าปู่ดูโกรธมาก กวนลี่จือก็ไม่กล้าพูดเรื่องไร้สาระ เดินสะบัดแขนเสื้อออกจากห้องไป
อาโฉ่วยืนอยู่ที่ประตู เมื่อกวนลี่จือเห็นเขา ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีก
ชี้หน้าด่าเขาว่า “เจ้าเศษสวะ ปกติมีความสามารถมากไม่ใช่หรือ องครักษ์สองคนเจ้าก็เอาชนะมาแล้ว เจ้ายังมีหน้ามาอยู่ในตระกูลกวนอีกรึ รีบไสหัวออกไปจากเร็วๆ ซะ”
อาโฉ่วมีสีหน้าตื่นตระหนก รีบคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพ
“คุณชายโปรดระงับโทสะด้วย อาโฉ่วไม่มีที่ไป ขอคุณชายรับเลี้ยงไว้ด้วย”
กวนลี่จือเตะไหล่เขา แล้วตำหนิด้วยความโกรธ “ขยะอย่างเจ้า เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์”
อาโฉ่วหดคอ โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อขอความเมตตา
“คุณชายโปรดยกโทษให้ด้วย คุณชายโปรดยกโทษให้ด้วย”
ในตอนนี้เอง ยามที่เฝ้าประตูใหญ่ก็เข้ามารายงานว่าโหวเหนือและอันผิงอ๋องมาถึงแล้ว
กวนลี่จือจึงให้อาโฉ่วไสหัวไป เร้นกายออกจากจวนเสนาบดีผ่านประตูเล็กๆ
อาโฉ่วติดตามกวนลี่จือไปอย่างใกล้ชิด ความตื่นตระหนกในดวงตาของเขาหายไป และดวงตาของเขาก็สงบราวกับบ่อน้ำนิ่ง
ด้านนอกมุมประตู มีม้าผูกอยู่ กวนลี่จือขึ้นหลังม้า แล้วพูดเสียงชั่วร้าย “ไปโรงบ่อน ถ้าวันนี้ชนะก็แล้วไป แต่ถ้าแพ้ ข้าจะถลกหนังเจ้า”
“ขอรับ”
อาโฉ่วก้มหน้าก้มตาเดินตามหลัง การเดินเร็วราวกับบิน
ในสนามฝึก อินชิงเสวียนได้สั่งให้พ่อครัวทหารจัดการนวดแป้งเสร็จแล้ว เมื่อเห็นทหารเหงื่อออกจากความร้อน นางจึงอยากได้แตงโมมาดับกระหาย แต่เนื่องจากนางไม่สามารถเอามันออกมาจากมิติได้โต้งๆ นางจึงพูดกับฉินเทียนและหลี่ชีว่าจะกลับไปเยี่ยมที่บ้านหน่อย จึงขี่ม้าออกจากสนามฝึกไป
ม้าของอินชิงเสวียนไม่ได้ขี่เร็วนัก แต่ไม่คาดคิดว่าทันทีที่ไปถึงถนนเทียน ก็พบกับร้านผ้าแพรไหมที่เพิ่งเปิดใหม่ เมื่อเสียงฆ้องดังขึ้น ม้าก็ตกใจกลัว
เสียงม้าร้องยาว กีบหน้ายกขึ้นทันที
อินชิงเสวียนตื่นตระหนก รีบคว้าแผงคอม้าแน่น พอม้าถูกบีบด้วยความเจ็บปวด ทันใดนั้นมันก็สะบัด ทำให้อินชิงเสวียนตกลงจากม้า
ในช่วงเวลาวิกฤติ มีมือหนึ่งเข้ามารับร่างของอินชิงเสวียน
อีกมือหนึ่งดึงบังเหียนม้าอย่างแรง แล้วม้าก็ร้องลั่น และหยุดทันที
อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมองคนที่ช่วยชีวิตนาง ก็เห็นใบหน้าน่าเกลียดที่ดูเหมือนถูกไฟไหม้ทันที นางตกใจ รีบกระโดดลงไปที่พื้นทันที
ตอนนั้นเองจึงนึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้คือผู้ติดตามที่อยู่กับหลานชายของเสนากวนในวันนั้น ดูเหมือนจะชื่อว่าอาโฉ่ว
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
เสียงของอาโฉ่วแหบแห้ง ดวงตาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยบางอย่าง
อินชิงเสวียนถอยหลังหนึ่งก้าว ประกบมือคำนับ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ขอบคุณจอมยุทธ์ท่านนี้ที่ช่วยชีวิต”
อาโฉ่วยิ้ม ใบหน้านั้นยิ่งดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
“ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ทำให้เจ้ากลัวก็ดีแล้ว”
อินชิงเสวียนรู้สึกอายกับสิ่งที่เขาพูด
“จอมยุทธ์จิตใจดี ข้าจะกลัวได้อย่างไร เพียงแต่จู่ๆ ข้าก็ถูกกอด จึงตื่นตระหนกเล็กน้อย”
อาโฉ่วโค้งกายเล็กน้อย “เมื่อครู่ข้าน้อยรีบมากจริงๆ ล่วงเกินแล้ว”
อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงตกจากหลังม้าไปนานแล้ว ข้ารีบออกมา จึงไม่ได้นำอะไรติดตัวไปด้วย ข้าจะให้เงินเจ้าไว้ใช้ ถ้าไม่อยากอยู่กับตระกูลกวน ต่อไปก็หาที่อยู่ใหม่ให้ตัวเองได้”
หลังจากพูดจบก็ล้วงตั๋วเงินสองร้อยตำลึงออกมาจากอกเสื้อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...