ความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยผุดขึ้นมาจากใจ อินชิงเสวียนเกือบจะอุทานออกมา
ร่างนี้เป็นพี่ชายใหญ่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอย่างแน่นอน
อินสิงอวิ๋นยังไม่ตายจริงๆ เขายังอยู่ในเมืองหลวงจริงๆ!
อินชิงเสวียนดึงบังเหียนม้าอย่างตื่นเต้น จับท้องของม้าแล้วไล่ตามร่างนั้นไป
หลังจากไล่ตามจนมาถึงตรอกเล็กๆ ก็พบว่าไม่มีผู้ใดอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง
ความเงียบงันในบรรยากาศทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกกังวลเล็กน้อย
นางไม่ควรแยกจากฉินเทียนและหลี่ชีจริงๆ ถ้าเกิดมีคนวางแผนลอบทำร้ายจะทำอย่างไร
แล้วจึงเร่งควบม้าออกจากตรอกทันที แต่ได้ยินผู้ใดบางคนตะโกนด้วยความประหลาดใจ "เสี่ยวเสวียนจื่อกงกง!"
เมื่ออินชิงเสวียนหันกลับมา ก็เห็นกวนเซี่ยวทันทีที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อน
ถอนหายใจด้วยความโล่งอก กระโดดลงจากหลังม้าแล้วพูดว่า "คุณชายน้อยกวน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้"
ขณะที่กวนเซี่ยวกำลังจะพูดตอบ จู่ๆ ก็มีหญิงผู้หนึ่งปรากฏตัวที่ประตูหลัง และยื่นมือออกไปจับเขา
"คุณชายกวน ท่านจะออกไปแล้วรึ"
ทันใดนั้นใบหน้าของกวนเซี่ยวก็เปลี่ยนเป็นสีแดง รีบผลักนางออกไป
"ไม่ต้องพูดแล้ว รีบเข้าไป"
เมื่อเห็นเขายัดหญิงผู้นั้นกลับเข้าไปในประตูเหมือนขยะ อินชิงเสวียนก็เข้าใจทันทีว่านี่คือหลังเรือนของเรือนใดสักเรือน จิ๊ๆ ที่แท้ก็เป็นหนุ่มเจ้าสำราญนี่เอง
กวนเซี่ยวลูบจมูก แล้วพูดด้วยสีหน้าเขินอาย "ข้า...ความจริงข้ามาที่นี่เพื่อท่องบทกวี"
อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า "ท่องบทกวีเป็นเรื่องดี บทกวี บทเพลง และความรักวัยหนุ่มสาว นี่ถึงจะเรียกว่าธรรมชาติที่แท้จริงของบุรุษกระมัง"
กวนเซี่ยวยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ประกบมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า "อย่าบอกเรื่องนี้กับท่านปู่ข้านะ ไม่เช่นนั้นเขาจะตีข้าตายแน่ๆ"
"ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้ายังมีงานที่ต้องทำ หากวันหน้ามีเวลาว่าง จะไปเยี่ยมถึงจวนแน่นอน ลาก่อน"
อินชิงเสวียนก้าวไปสองก้าว แล้วหันกลับมาถามว่า "ไม่ทราบว่าอาการปวดศีรษะของจอมพลเฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้ายาหมด สามารถส่งข่าวไปที่วังได้เลย"
กวนเซี่ยวพูดด้วยสีหน้าซาบซึ้ง "ขอบคุณมากเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงมาก ช่วงนี้ท่านปู่สบายดี หากจำเป็น ข้าจะไปหาเจ้าเอง"
"ได้ เช่นนั้นก็ลาก่อน"
อินชิงเสวียนกลัวว่าฉินเทียนและหลี่ชีจะหานางไม่พบ ดังนั้นจึงรีบออกจากตรอก
กวนเซี่ยวมองไปยังทิศทางที่นางจากไป โดยปราศจากร่องรอยความลำบากใจบนใบหน้า และสีหน้าของเขาก็สงบราวกับน้ำ
เขายืนอยู่ในตรอกสักพักแล้วรีบออกไป
ณ เรือนจุ้ยหง
ในห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่ง มีนักดื่มผู้หนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง
แสงในห้องมืดสลัว แต่ยังคงมองเห็นแผ่นหลังอันผึ่งผายกำยำ รวมถึงเค้าหน้าอันหล่อเหลาของบุรุษผู้นั้นได้ชัดเจน เขาถือจอกสุราในมือ แล้วยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ๆ อากัปกิริยาของเขาให้ความรู้สึกอิสระสบายใจประหนึ่งจอมยุทธ์
ที่ประตูห้อง มีสตรีร่างอ่อนหวานแช่มช้อยสวมผ้าโปร่งสีดำยืนอยู่ผู้หนึ่ง ส่วนใบหน้าก็คลุมด้วยผ้าโปร่งอีกผืน คลุมเครือจนมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน
สตรีผู้นั้นมองเขาอย่างเทิดทูน แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "นายท่านต้องการเข้าไปในวังหรือไม่"
บุรุษผู้นั้นพูดเสียงเรียบ "ไม่จำเป็น ข้ารู้ว่านางยังไม่ตายก็พอแล้ว"
สตรีผู้นั้นกัดริมฝีปากแล้วถามว่า "นายท่านมีแผนจะกลับเมื่อใด"
ร่างของบุรุษผู้นั้นแวบหาย และมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของนางพลัน นิ้วเรียวกำอยู่บนลำคอของสตรีผู้นั้นอย่างแม่นยำและรุนแรง
"ใครมอบความกล้าขนาดนั้นให้เจ้า ถึงกับกล้าถามถึงเรื่องของข้า"
สตรีผู้นั้นถูกบีบอย่างแรงจนตัวสั่นไปหมด รีบคว้านิ้วที่เหมือนคีมเหล็กนั้นทันที แล้วพูดด้วยความพยายามอย่างยิ่งว่า "ข้าน้อยล่วงเกินท่านแล้ว ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว นายท่านโปรดยกโทษให้ด้วย"
บุรุษผู้นั้นมองนางอย่างเย็นชา แล้วโยนผู้หญิงคนนั้นออกไปอีกด้าน น้ำเสียงเย็นชาของเขากลับมาสงบดังเดิม
"ออกไปเถอะ ข้าขอนั่งอยู่คนเดียวสักพัก"
"เจ้าค่ะ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...