สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 16

หอฉงฮวา

เจ้านายน้อยซูฉ่ายเวยกำลังมองตนเองในกระจกทองแดงด้วยความเวทนา

เข้าวังมาได้สามเดือนกว่าแล้ว ยังไม่ได้พบแม้แต่พระพักตร์ฝ่าบาทเลย

วิธีที่สามารถใช้ได้เธอก็ใช้ทุกอย่างแล้ว เงินก็ใช้ไปไม่น้อย แต่กลับไม่พบหนทางเลย

จะต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ไปถึงเมื่อไร

และเมื่อคิดถึงอาหารจืดชืดในทุกๆ วัน ซึ่งเทียบไม่ได้กับที่บ้านด้วยซ้ำ เธอก็รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ จึงยืนขึ้นและยกเท้าเตะเก้าอี้

สาวใช้รู้ว่าเธออารมณ์ไม่ดี ต่างก็พากันยืนชิดกำแพง ไม่กล้าเงยหน้า

ซูฉ่ายเวยหาความผิดของพวกนางไม่พบ จึงไประบายอารมณ์กับต้นไม้ใบหญ้าในสวน ขณะที่กำลังเดินเตะพวกมันอยู่ ทันใดนั้นก็เห็นขันทีหนุ่มชุดหนึ่งถือปิ่นโตอย่างดีเดินเข้ามาจากด้านนอก

เหล่าขันทีเข้ามาถึงก็พูดว่า "แจ้งข่าวดีนายน้อยขอรับ ฝ่าบาทมีรับสั่งโดยเฉพาะว่าให้เพิ่มเนื้อทุกมื้ออาหารให้กับนายน้อยหอฉงฮวา บ่าวจึงได้จัดเตรียมอาหารมาให้หกอย่าง ไม่ทราบว่าจะถูกใจนายน้อยหรือไม่?"

ขันทีคนแรกเดินก้าวมาข้างหน้าแล้วเปิดฝาปิ่นโตออก

เมื่อเห็นอาหารภายในนั้น ตาของซูฉ่ายเวยก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที

"นี่...นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาทจริงๆ หรือ?"

ขันทีคนหน้าสุดยิ้มแล้วพูดว่า "ตอนนี้ภัยแล้งเกิดทั่วแผ่นดิน แม้แต่ไทเฮาก็ยังลดละอดออม หากมิใช่ฝ่าบาททรงรับสั่ง ใครเล่าจะกล้านำของดีมาให้ท่านขอรับ"

ซูฉ่ายเวยดีใจจนร่างกายสั่นเทา เธอหันหลังตะโกนว่า "เด็กๆ เร็ว ตบเงินรางวัลเร็วเข้า"

สาวใช้ให้เงินแล้วก็ยกอาหารเข้าไปในเรือน

ทุกคนต่างคุกเข่าแสดงความยินดีกับเจ้านาย

การได้รับความใส่ใจจากฝ่าบาท เท่ากับว่าชีวิตกำลังจะดีขึ้นแล้ว

ซูฉ่ายเวยยิ่งยิ้มกว้างจนหุบไปได้ และเมื่อคิกถึงท่าทีวางอำนาจบาตรใหญ่ของลู่จิ้งเสียนในแต่ละวัน เธอก็กระตุกยิ้มมุมปาก รอให้เธอถูกแต่งตั้งเป็นสนมก่อน เธอจะทำให้นังแพศยานั่นรู้ซึ้งเอง

เรื่องในพระราชวังล้วนเป็นที่จับตามองจากผู้คนเสมอมา

เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ลู่จิ้งเสียนก็ได้รับข่าว

ใบหน้าที่แต่งแต้มจนสดสวยตระการบึ้งตึงขึ้นมาทันที

ตอนนี้วังหลังทั้งหกตำหนักต่างก็กำลังลดละอดออมสิ่งต่างๆ เพื่อนำเงินที่เหลือได้ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่ฝ่าบาทกลับประทานอาหารหกอย่างและน้ำแกงอีกหนึ่งอย่างให้กับหญิงงามคนหนึ่ง เธอที่เป็นถึงพระสนมยังได้กินแค่อาหารสี่อย่างเท่านั้น เรื่องนี้จะให้เธอทนไหวได้อย่างไร

"ชุ่ยจู๋ เรียกสาวใช้มาสองสามคน ตามข้าไปดูนังจิ้งจอกหอฉงฮวากันหน่อยว่าเป็นใครหน้าไหนถึงสามารถกินอาการเหมือนกับฝ่าบาท"

กลุ่มคนทั้งหมดก็พากันไปที่หอฉงฮวา

ซูฉ่ายเวยกำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ระยะนี้ได้กินแต่รสชาติจืดชืดจนลิ้นจะไม่รับรู้รสอยู่แล้ว พอได้เห็นเนื้อก็รู้สึกดีใจเสียยิ่งกว่าได้เห็นหน้าพ่อแม่เสียอีก

แต่แล้วกลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่หน้าประตู เธอนึกว่าขันทีจะนำของพระราชทานอะไรมาส่งอีก จึงวิ่งออกไปด้วยความปิติยินดี

แต่เมื่อเห็นลู่จิ้งเสียนที่ทาปากแดงฉาน กับกลิ่นน้ำหอมที่ฟุ้งกระจายทั่วตัวก็สะดุ้งตกใจ

"อวิ๋นฉ่ายถวายบังคมพระสนมเสียนเฟยเพคะ"

ลู่จิ้งเสียนเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ แล้วยื่นมือจับคางเธอเชยขึ้น

แสยะยิ้มแล้วพูดว่า "หน้าตาก็ไม่ได้สดสวยอะไรนี่? อย่างเจ้าก็คู่ควรที่จะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทด้วยหรือ ชุ่ยจู๋ สั่งสอนเสียให้เข็ด"

ชุ่ยจู๋รีบเดินก้าวมาข้างหน้า แล้วยกมือตบเข้าที่หน้าของซูฉ่ายเวยเต็มฉาดหนึ่งตามคำสั่ง

สาวใช้ที่เหลือก็บุกเข้าไปในเรือน ยกกับข้าวของซูฉ่ายเวยเททิ้งทั้งหมด

ซูฉ่ายเวยก็รู้ดีถึงความสัมพันธ์ของลู่จิ้งเสียนและไทเฮา เธอคุกเข่ากับพื้นด้วยตัวสั่นเทา ไม่กล้าแม้จะปริปากพูด

ลู่จิ้งเสียนด่าทอเธอชุดใหญ่อีกชุดหนึ่ง แล้วจึงเดินส่ายสะโพกกลับไป

เมื่อมองดูแผ่นหลังของนาง ซูฉ่ายเวยก็โกรธจนกัดฟันกรอด ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีอะไร เธอก็จะต้องปีนไต่เต้าขึ้นไป และเหยียบนังแพศยาลู่จิ้งเสียนจมดินให้จงได้

เวลาสามวันผ่านไปในพริบตา

อินชิงเสวียนไม่รู้เลยว่าเพียงประโยคเดียวของตนเองจะสร้างปัญหามากมายขนาดนี้

เธอหวังเพียงว่าทหารองค์รักษ์คนนั้นจะซื้อเนื้อจากนอกวังมาให้เธอ เพื่อที่จะได้นำคะแนนไปแลกซื้ออย่างอื่น แต่ใครจะรู้ว่าเย่จิ่งอวี้จะสั่งประทานเนื้อไปให้ที่หอฉงฮวา

เธอนอนหลับจนเต็มอิ่มแล้วตื่นมา เพียงแค่คิด เธอก็เข้ามาอยู่ในมิติแล้ว

เมื่อก้มมองก็พบว่าลูกแตงโมขนาดเท่ากับกำปั้นแล้ว มะเขือยาวกับพริกก็ยาวเท่าหนึ่งฝ่ามือ และยิ่งกว่านั้นรวงข้าวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้ว

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกสักสามถึงสี่วัน ก็จะได้เก็บเกี่ยวข้าวแป้งและพืชผักอีกครั้งแล้ว

เธอตักน้ำมาอาบเหมือนเช่นเคย และรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์