อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น ภาพใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฎในดวงตา
เธอรีบเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นยืน แล้วฉีกยิ้ม
"ท่านพี่ทหาร เจ้ามาแล้วหรือ"
บนขนตาของเธอยังมีคราบน้ำตา มองดูแล้วน่าสงสารจับใจ
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเบาๆ มองดูดวงตาที่เปรอะเปื้อนน้ำตาคู่นั้น ก็รู้สึกไม่สบายในใจ
"ข้ากำลังถามเจ้า ใครรังแกเจ้า?"
อินชิงเสวียนสูดหายใจแล้วพูดว่า "ไม่มีใครรังแกข้าหรอก ข้าแค่คิดถึงบ้าน"
เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงในลำคอ "ในเมื่อติดบ้านขนาดนั้น แล้วเข้าวังมาทำไม?"
อินชิงเสวียนยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า "คนเรามักมีหลากสิ่งหลายอย่างที่ต้องจำยอม ท่านพี่ทหาร เจ้าได้ซื้อเนื้อมาให้ข้าไหม?"
ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ฉายแววมืดลง
"หอฉงฮวาของพวกเจ้าไม่ได้รับของพระราชทานจากฝ่าบาทหรือ?"
"เอ่อ..."
อย่าบอกนะว่าฮ่องเต้ประทานเนื้อไปให้หอฉงฮวา?
เย่จิ่งอวี้ถามต่อว่า "เจ้านายของพวกเจ้าไม่ได้แบ่งอาหารให้พวกเจ้าสักนิดเลยหรือ?"
"เอ่อ...เจ้านายของพวกเราก็ไม่ได้มีเนื้อทานเลย ต่อให้แบ่งให้บ่าว มันก็มีแค่นิดเดียวจะพอทานได้อย่างไร ท่านพี่ทหาร ครั้งหน้าเจ้าซื้อเนื้อมาให้ข้าเถอะ เช่นนี้ข้าก็สามารถแอบทำทานเองได้แล้ว"
อินชิงเสวียนมโนแต่งเรื่องขึ้น ทว่าในใจกลับกำลังคิดว่าไม่นึกเลยว่าทหารองครักษ์คนนี้สามารถพูดคุยกับฮ่องเต้ได้ด้วย แสดงว่าเขาต้องเป็นขุนนางยศสูงมากแน่นอน นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจับจับพลัดจับผลูจับปลาใหญ่ได้โดยบังเอิญ
เธอรีบหยิบซาลาเปาหมูสับของตนเองออกมา
"ท่านพี่ทหาร ข้าก็ไม่มีอะไรจะตอบแทนได้ นี่เป็นสิ่งที่ข้าขอให้แม่ข้าที่อยู่นอกวังทำมาให้ ยังร้อนๆ อยู่เลย เจ้าลองชิมดูสักลูกสิ"
อินชิงเสวียนคลี่กระดาษไขออก แต่เมื่อมองไปที่หน้าประตูตำหนักฉงหวู่เห็นทหารองครักษ์สองคนยืนเฝ้าดั่งเทพคุมกันประตูกำลังจ้องมองมา ก็รู้สึกไม่ค่อยดี จึงรีบห่อกระดาษกลับเช่นเดิม
เธอมองไปรอบๆ แล้วดึงแขนเสื้อของเย่จิ่งอวี้ให้เดินสับขาไปทางด้านขวา
ด้านนั้นมีสระเล็กๆ อยู่หนึ่งสระ ไม่มีคนรบกวน
เธอพูดว่า "แม่ข้าไม่ได้ทำมามากมายนัก หากให้เพื่อนร่วมงานของเจ้าเห็น ก็ต้องแบ่งให้พวกเขาอีก เราไปกินกันทางด้านโน้น"
เย่จิ่งอวี้ไม่ได้รู้สึกสนใจสิ่งที่อยู่ในห่อกระดาษไขของเธอเลยแม้แต่น้อย
ครอบครัวรรมดาทั่วไปจะทำของดีๆ อะไรได้
แต่ขันทีหนุ่มที่ใจกล้าบ้าบิ่นคนนี้กลับน่าสนใจดี
นับว่านอกจากไป๋เสวี่ยแล้ว เป็นเรื่องสนุกอย่างที่สองของเขา
ขณะที่กำลังครุ่นคิด อินชิเสวียนก็หยุดเดิน
เธอชี้ไปที่โต๊ะหินข้างๆ แล้วพูดว่า "ตรงนี้เปลี่ยว น้อยคนจะเดินผ่าน เรานั่งกินตรงนี้ก็แล้วกัน"
โต๊ะหินไม่ใหญ่มาก นั่งได้เพียงสองคนเท่านั้น
อินชิงเสวียนนั่งลงทางด้านซ้าย แล้วใช้มือตบไปที่ที่ว่างอยู่
เย่จิ่งอวี้มีท่าทีรังเกียจเล็กน้อย
ทว่าอินชิงเสวียนหยิบซาลาเปาออกมาลูกหนึ่งและยื่นไปให้เขา
ดวงตาสุกสกาวทั้งสองข้างยิ้มเป็นเส้นโค้งเหมือนดั่งเสี้ยวจันทร์
"สิ่งนี้เรียกว่าซาลาเปา ไส้หมูสับ อร่อยมากเลยนะ"
เย่จิ่งอวี้เลิกคิ้วขึ้น
นี่มันคือออะไร?
ไฉนเขาไม่เคยเห็นมาก่อน?
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้รับไว้ อินชิงเสวียนก็เข้าใจในทันที
เกรงว่าเป็นเพราะกลัวเธอจะใส่ยาพิษสินะ
เธอยิ้มและพูดว่า "วางใจเถอะ ข้ายังอยากทำการค้ากับเจ้าต่อไป จะวางยาพิษเจ้าได้อย่างไร หากเจ้าไม่เชื่อ ข้ากินให้ดูหนึ่งลูกก่อนก็ได้"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ตัวโกงเก่งกว่าคนดีแถมคนชั่วร้ายก็มีอยู่มากมายทั้งนอกทั้งในแบบนี้จะสู้ศึกไหวเหรอ...
มันเป็นพวกไหนกันแน่นะที่บ่อนทำลายชาติ ที่สำคัญจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลอินด้วยหรือเปล่า...
คนที่แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ไม่น่าจะเป็นตัวจริงเพราะมีพฤติกรรมลับลมคมในเรื่องต่างๆและทำให้เรื่องต่างๆแย่ลง เหมือนว่าจะหลงรักน้องสาวตัวเองเลยไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่า...
มีคนเล่นตุกติกกับชุดของเด็กแล้วอยู่ในวังต้องระมัดระวังก็รู้อยู่นะคราวนี้ผ่านมาทางคนที่สนิท...
ดีจริงแทนที่จะเสียคะแนนได้คะแนนมาเพิ่มอีก...
ทางด้านกลยุทธ์น่าจะได้แต่ทางด้านวรยุทธหรือพละกำลังน่าจะไม่ไหวดังนั้นต้องพิสูจน์ตัวเอง...
อายุยังไม่ทันถึง 6 เดือนเลยละมั้งทำไมพูดคุยได้แล้วเก่งจริง...
โกหกครั้งหนึ่งก็ต้องโกหกต่อๆไป...
ความแตกแล้วมั้งเนี่ย...
เกือบไปแล้ว...