เมื่อมองดูเสื้อผ้าของเย่จิ่งอวี้ที่ถูกลมพัดปลิว หัวใจของอินชิงเสวียนก็อดที่จะปั่นป่วนไม่ได้
หลังจากยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตามไป๋เสวี่ยไป
เย่จิ่งอวี้ขึ้นรถไปแล้ว พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กลับวัง”
รถม้าก็ออกจากทุ่งข้าวสาลีโดยไว
ระหว่างทาง สีหน้าของเย่จิ่งอวี้นิ่งดั่งสายน้ำ อินชิงเสวียนจึงไม่กล้าพูดมาก
โชคดีที่มีไป๋เสวี่ยอยู่ การหยอกล้อกับสุนัขช่วยบรรเทาความลำบากใจได้บ้าง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา รถม้าก็มาถึงหน้าห้องหนังสือ
ฉินเทียนพูดอย่างเคารพ “ฝ่าบาท ถึงห้องหนังสือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อินชิงเสวียนรีบพาสุนัขลงจากรถ พร้อมยื่นมือไปพยุงเย่จิ่งอวี้
เย่จิ่งอวี้เลี่ยงมือของนาง และกระโดดลงไปที่พื้นอย่างเรียบร้อย
พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเล็กน้อย “กลับไปคิดมาเถอะ สามวันนี้เจ้าอยู่ที่ตำหนักจินหวูก็พอ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อินชิงเสวียนโค้งคำนับและถอยกลับไปหลังรถ จากนั้นเดินอย่างรวดเร็วไปยังตำหนักจินหวู
จิตใจสับสนวุ่นวายเหมือนด้ายพันกัน
นางมีความรู้สึกว่า เย่จิ่งอวี้อาจรู้ตัวตนของนางแล้ว
อาจถึงขั้นที่เดาได้ว่าเสี่ยวหนานเฟิงเป็นลูกของเขาเอง
ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงแต่งตังให้เสี่ยวหนานเฟิงเป็นอ๋อง?
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ นางยังสามารถพาเสี่ยวหนานเฟิงออกจากวังได้หรือไม่?
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางสายเลือดราชวงศ์ เย่จิ่งอวี้ไม่มีทางยอมให้นางพรากลูกไป
เมื่อนึกได้ว่าหลังจากย้ายไปตำหนักจินหวูแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ส่งทหารมาคุ้มกันอย่างแน่นหนา อินชิงเสวียนยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเดาไม่ผิดแน่
ให้ตายเถอะ เย่จิ่งอวี้อดทนได้ดีมากทีเดียว เขาเป็นเต่านินจาในยุคโบราณหรืออย่างไร?
ดูท่าจะเรียกเต่าก็ไม่ได้ ดูเหมือนไม่มีใครกล้าสวมหมวกเขียว*ให้เขา
อินชิงเสวียนพูดแขวะ พร้อมเดินกลับไป จู่ๆ ก็มีคนตะโกนว่า “เสี่ยวเสวียนจื่อ”
อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเย่ไห่ถังที่ยืนยิ้มหวานอยู่ไม่ไหลในทันที ข้างกายคือสาวรับใช้อวิ๋นเฟิง และสาวใช้อีกสองคน
“กระหม่อมขอถวายบังคมองค์หญิง!”
เย่ไห่ถังซอยเท้าเดินเข้ามา
“ลุกขึ้นเถอะ แผลของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
อินชิงเสวียนก้มหน้าพูด “ขอบพระทัยในความห่วงใยขององค์หญิง กระหม่อมดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เย่ไห่ถังกรูเข้ามาทันที
“เช่นนั้นเจ้าทำเปี๊ยะให้ข้ากินอีกได้หรือไม่?”
อินชิงเสวียนไม่มีอารมณ์ แต่ว่าไม่อาจขัดใจองค์หญิงได้ จึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบ “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เย่ไห่ถังดีใจขึ้นมาในทันที
“อวิ๋นเฟิง ตกรางวัล และไปห้องพระเครื่องต้นพร้อมกับเสี่ยวเสวียนจื่อ”
อวิ๋นเฟิงรุดหน้าหนึ่งก้าว ยิ้มและหยิบเงินตำลึงออกมาสองก้อน
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”
เพราะอารมณ์ที่ไม่ดีนัก อินชิงเสวียนจึงไม่ชอบเงินมากขนาดนั้น
นางรับมาอย่างไม่สบอารมณ์มากนัก และพูดกับอวิ๋นเฟิงว่า “รบกวนพี่สาวนำทางด้วย”
“อืม”
อวิ๋นเฟิงพยักหน้า พร้อมเดินไปข้างหน้า เลี้ยวเข้าซอยอีกด้าน จากนั้นก็ชะลอความเร็วลงอีกครั้ง
ถามขึ้นเบาๆ อย่างเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไร หรือว่าฝ่าบาทตำหนิเจ้าเข้าแล้ว? เจ้าไม่เจ็บแผลจริงๆ ใช่ไหม?”
“เปล่า เป็นเรื่องส่วนตัวของข้าเอง ยาที่พี่สาวให้มานั้นดีมาก บาดแผลตกสะเก็ดนานแล้วล่ะ”
อวิ๋นเฟิงเม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม พลางพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว หากเจ้ามีเรื่องที่คิดไม่ตก เจ้าบอกกับข้าได้นะ ไม่แน่ว่าข้าอาจช่วยเจ้าได้”
อินชิงเสวียนถอนหายใจและพูดว่า “เรื่องของข้า ไม่มีผู้ใดช่วยได้”
“ก็ไม่แน่หรอกนะ ฝ่าบาททรงดีต่อองค์หญิงมาก ขอเพียงพระสนมของพวกเราเอ่ยปาก ไม่ว่าเรื่องใดก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”
เมื่อฟังคำพูดของอวิ๋นเฟิง ดวงตาของอินชิงเสวียนเป็นประกายขึ้นมา
“พี่อวิ๋นเฟิง องค์หญิงของพวกพี่เข้าตำหนักจินหวูได้หรือไม่?”
อวิ๋นเฟิงเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อย “ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ทั่วทั้งพระราชวัง ไม่มีที่ใดที่องค์หญิงเสด็จไปไม่ได้”
“นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะโปรดปรานองค์หญิงถึงเพียงนี้ หาได้ยากนัก เช่นนั้นก็ให้องค์หญิงไปรอที่ตำหนักจินหวูเสียเถอะ จะได้ไปดูดาวมงคลด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...