สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 190

สรุปบท บทที่190 ฝ่าบาทคงไม่เป็นสุขแล้วสินะ: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์

สรุปตอน บทที่190 ฝ่าบาทคงไม่เป็นสุขแล้วสินะ – จากเรื่อง สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ โดย GoodNovel

ตอน บทที่190 ฝ่าบาทคงไม่เป็นสุขแล้วสินะ ของนิยายโรแมนติกเรื่องดัง สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ โดยนักเขียน GoodNovel เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

เสี่ยวอานจื่อวิ่งเข้ามาจากด้านนอก

“ท่านอาจารย์ ไทเฮาเสด็จมาแล้ว”

หลี่เต๋อฝูกลัวรบกวนการนอนหลับพักผ่อนของสามพ่อแม่ลูก จึงรีบดึงตัวเสี่ยวอานจื่อออกมานอกตำหนัก

“เช้าขนาดนี้ ไทเฮาเสด็จมาทำอะไร?”

“ข้าก็ไม่รู้ ข้าเห็นท่าทางที่ดุดัน คิดว่าเสด็จมาเพื่อหลิวหมัวมัวขอรับ”

เมื่อเสี่ยวอานจื่อพูดจบ เสียงของชุยไห่ก็ดังเข้ามาจากด้านนอก

“หลี่เต๋อฝู ไทเฮาทรงทราบว่าฝ่าบาทอยู่ที่ตำหนักจินหวู รีบกราบทูลด้วย”

ไก่ยังไม่ขัน รอบด้านมีเพียงความเงียบ เสียงพูดจึงดังขึ้นชัดเจน

หลี่เต๋อฝูอดไม่ได้ที่จะก่นด่าเบาๆ “ชุยไห่ ไอ้เลวระยำหมา พูดเพ้อเจ้ออะไรมากมาย เจ้าออกไปบอกทีสิ ให้ฝ่าบาทบรรทมต่ออีกหน่อย”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวอานจื่อเพิ่งออกไป เสียงของเย่จิ่งอวี้ก็ดังออกมาจากในตำหนัก

“เรื่องอะไรกัน?”

หลี่เต๋อฝูโค้งตัวพูดว่า “ชุยไห่พ่ะย่ะค่ะ บอกว่าไทเฮาอยู่ด้านนอก”

เสียงของเย่จิ่งอวี้เข้มขึ้นในทันที

“ให้นางรอไปก่อน เข้ามาเปลี่ยนชุดให้ข้า”

“พ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เต๋อฝูเดินเข้ามาพร้อมกับขันทีตัวน้อยที่กำลังถือเสื้อผ้า และต้องตกใจเมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่หน้าเตียงด้วยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง

“ฝ่าบาท...”

“ข้าไม่เป็นไร”

เย่จิ่งอวี้หวีผมแล้วลุกขึ้นจากเตียง

เหลือบไปมองอินชิงเสวียนและเสี่ยวหนานเฟิงที่ยังคงหลับสนิทอยู่ จึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ไปด้านนอกตำหนักเถอะ อย่ารบกวนพวกนาง”

หลี่เต๋อฝูค้อมเอวลง และย้ายอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหมดไปที่ห้องโถงด้านนอก

พร้อมถามขึ้นอย่างห่วงใย “ฝ่าบาท เด็กน้อยเป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เย่จิ่งอวี้นั่งลงบนเก้าอี้ และพูดเสียงเย็นว่า “ดีขึ้นแล้ว แต่ผู้กระทำผิดก็ไม่สามารถละเว้นได้”

หลี่เต๋อฝูไม่กล้าพูดต่อ แม้ว่าเขาจะถือว่าเขาเป็นคนสนิทของเย่จิ่งอวี้ แต่จะเป็นการดีกว่าหากไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องในราชวงศ์

ภายในเวลาสิบห้านาที เย่จิ่งอวี้ก็แต่งตัวเสร็จแล้ว โดยสวมเสื้อคลุมและมงกุฎของจักรพรรดิ

เขายืนขึ้นจากเก้าอี้ ระหว่างคิ้วของเขาก็มีสายตาดูหมิ่นผุดขึ้นทันที

หลี่เต๋อฝูปรับหยกคาดเอวของเย่จิ่งอวี้อีกครั้ง เขาสวมแหวนหยกที่นิ้วโป้งด้วยความเคารพ แล้วกระซิบว่า “ฝ่าบาท พวกเราไปกันได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้เหลือบมองห้องโถงด้านในอย่างอาลัยอาวรณ์ และเดินออกจากตำหนักจินหวูไป

ประตูวัง ไทเฮาพยุงชุยไห่ สีหน้าซีดเซียว

เสี่ยวอานจื่อที่ตัวสั่นเทิ้มกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา

เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ ไทเฮาก็พูดเยาะเย้ยออกมา “ฝ่าบาททรงเสด็จออกมาได้เสียที”

เย่จิ่งอวี้พูดเสียงราบเรียบ “ไม่อาจเพิกเฉยต่อราชกิจเช้าได้ ข้าคงไม่อยู่ในตำหนักจินหวูได้ตลอด”

ไทเฮาพูดขึ้นเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาทผู้เป็นที่รักของราษฎร ข้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง หลิวหมัวมัวก็เป็นประชาชนของต้าโจวเช่นกัน ฝ่าบาทได้โปรดปล่อยนางออกมาในเร็ววัน”

ไทเฮาไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ทรงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของหลิวหมัวมัว

เหตุผลที่นางเสด็จมาแต่เช้าตรู่ อย่างแรกคือความสัมพันธ์นายบ่าวของนางและหลิวหมัวมัว จึงอดไม่ได้ที่จะเห็นนางทุกข์ทรมาน อีกอย่างนางกลัวว่าหลิวหมัวมัวจะไม่สามารถทนต่อการทรมานได้ และพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ควรพูดแล้ว

เย่จิ่งอวี้ทำเสียงฮึดฮัด เสียงของเขาเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง หนาวเหน็บถึงกระดูก

“หลิวหมัวมัวคือผู้ร้ายที่ปองร้ายต่อดาวมงคล ความผิดของนางไม่อาจให้อภัยได้ ไทเฮาเสด็จกลับไปเถอะ”

ไทเฮารุดหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าวทันที

“ข้าไม่เคยร้องขอสิ่งใดต่อพระองค์เลย เรื่องของหลิวหมัวมัวก็ยังพิสูจน์ความจริงไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจมีใครจงใจใส่ความนาง ฝ่าบาทได้โปรดปล่อยนางออกมาในเร็ววัน”

“ไม่เคยงั้นหรือ?”

เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงหัวเราะออกมา

“เมื่อไม่กี่วันก่อน ไทเฮาทรงขอให้ข้านำตัวอันผิงอ๋องกลับมาทำงานในราชสำนัก หรือว่าท่านลืมไปแล้ว? ข้ายังไม่ได้ถามว่าเหตุใดไทเฮาทรงให้โหวเหนือเข้ามาในราชสำนัก และเหตุใดจึงออกจากวังไปพบอ๋องจิ้ง ไทเฮายังสร้างความผิดให้กับข้า หากแก่ชราถึงขนาดนี้แล้วจริงๆ เช่นนั้นก็ไม่ต้องจัดการเรื่องวังหลังอีกต่อไป เสี่ยวอานจื่อ นำตัวไทเฮาเสด็จกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักฉือหนิง”

“กระหม่อมได้สร้างหินโม่ขึ้นมา จากนั้นได้โม่แป้งสาลีสีขาว กระหม่อมหยิบติดมาด้วยจำนวนหนึ่ง และขอให้ฝ่าบาททรงตรวจดูพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่เต๋อฝูรีบรุดไปด้านหน้า และรับแป้งหมี่ขาวมา

เย่จิ่งอวี้หยิบขึ้นมาเล็กน้อยแล้วมองดู จากนั้นพยักหน้าแล้วพูดว่า “ดีมาก ถ้าเป็นไปได้ในเพราะปลูกข้าวสาลีรอบที่สองทันที”

หานสือโค้งตัวและพูดว่า “กระหม่อมได้สั่งให้คนพลิกหน้าดินแล้ว สามวันหลังจากนี้ก็สามารถหว่านเมล็ดใหม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าพูดว่า “ดีมาก”

ขุนนางคนอื่นๆ ในราชสำนักต่างก็ออกมารายงานผลงานของพวกเขาทีละคน และยื่นสมุดพับถวาย

ชั่วพริบตาก็เกือบจะเที่ยงแล้ว

เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งที่ต้องรายงานแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ลุกขึ้น

“ในเมื่อขุนนางที่รักทั้งหลายไม่มีธุระอื่นแล้ว ก็ออกจากราชสำนักกันได้”

เย่จิ่งอวี้กำลังเดินลงจากแท่นสูง ก็มีเสียงคนพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท ข้ายังมีอีกเรื่องที่จำเป็นต้องพูดในราชสำนัก”

ชุยไห่พยุงไทเฮาเดินออกมาจากโถงด้านข้าง เหล่าขุนนางต่างแสดงความเคารพในทันที

“ขอถวายบังคมไทเฮา”

ไทเฮาเดินขึ้นแท่นสูงและจ้องมองเย่จิ่งอวี้ด้วยความเย็นชา

“ฝ่าบาท ข้าตรวจสอบได้ว่า สกุลอินแห่งวังเย็นยังไม่ตาย”

นิ้วมือของเย่จิ่งอวี้สั่นเล็กน้อย ความคมบนใบหน้าดุดันขึ้นในทันที

“ตำหนักจินหลวนเป็นสถานที่ให้ไทเฮาพูดไร้สาระได้งั้นหรือ?”

ไทเฮาพูดเย้ยหยัน “ข้าพูดไร้สาระหรือไม่ ฝ่าบาทตรวจดูก็จะรู้ ตอนนี้สกุลอินปลอมตัวเป็นขันทีน้อย แฝงตัวอยู่ข้างกายฝ่าบาท ใช้ชื่อว่าเสี่ยวเสวียนจื่อ ฝ่าบาทอ้างตัวว่าเป็นคนฉลาดและมีอำนาจ เหตุใดเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้จึงมองไม่ออก จะไม่เป็นที่น่าขันไปหน่อยหรือ!”

“พูดจ้าเพ้อเจ้อ ไทเฮาคงเสียสติไปแล้ว หลี่เต๋อฝู รีบไปเรียกหมอหลวงมาทำการรักษาให้แก่ไทเฮา”

หน้าอกของเย่จิ่งอวี้ตึกตักเล็กน้อย และเสียงของเขาก็เย็นชาราวกับน้ำแข็ง

“ข้าไม่ได้เสียสติ!”

ไทเฮาพูดเสียงดุดัน “ฝ่าบาทคงไม่เป็นสุขแล้วสินะ ตอนนี้เหล่าขุนนางบู๊บุ๋นต่างอยู่ที่นี่ เหตุใดฝ่าบาทไม่เรียกเสี่ยวเสวียนจื่อคนนั้นมาที่นี่ เพื่อยืนยันตัวตนด้วยตนเอง!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์