ไทเฮากล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ใช่แล้ว ขันทีน้อยคนนี้คือหญิงตระกูลอินแห่งวังเย็น”
เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงเย็นชา ดวงตามองจับไปยังอินชิงเสวียน
“ข้าบอกว่านางไม่ใช่ นายหญิงของวังเย็นเสียชีวิตจาการป่วยเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว หญิงตระกูลอินจะมาที่นี่ได้อย่างไร”
ไทเฮาก้าวไปทางอินชิงเสวียน บีบให้จนมุมด้วยเสียงกร้าว “เจ้าเป็นผู้ใด ต่อหน้าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ บอกตัวตนของเจ้ามาให้ชัดเจน”
อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไยไทเฮาจึงบีบเค้นกันถึงเพียงนี้ นอกจากหลานสาวของท่านแล้ว ไทเฮาจะทรงยอมหญิงผู้อื่นไม่ได้หรือเพคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไทเฮาก็หัวเราะเสียงดัง พูดกับขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ว่า “พวกท่านคงได้ยินแล้ว นางยอมรับว่านางเป็นหญิง ตระกูลอินสมคบคิดกับศัตรู หญิงตระกูลอินควรถูกประหารไปนานแล้ว บัดนี้กลับใช้แผนต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ ปลอมตัวออกจากวังเย็น เอาเกียรติ์ของราชวงค์ไว้ที่ไหน!”
อินชิงเสวียนยักไหล่ พูดด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าไทเฮาจะสับสนแล้ว หม่อมฉันเป็นสตรีก็จริง แต่มิใช่หญิงจากตระกูลอิน”
ทันทีที่กล่าวคำนี้ บรรดาขุนนางก็เกิดความโกลาหล
ขันทีน้อยคนนี้เป็นหญิงจริงๆ หรือ
แต่นางก็บอกว่านางไม่ใช่หญิงตระกูลอิน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
กวนเมิ่งถิงก้าวไปข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด เมื่อกล้าปลอมตัวปะปนอยู่ในวังหลวง ล้วนมีโทษประหาร”
อินชิงเสวียนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่เกรงกลัว “หรือท่านเสนาจะใช้อำนาจส่วนรวมมาแก้แค้นส่วนตัวรึ วันนั้นข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้ไปดูแลทหารที่สนามฝึก กวนลี่จือ หลานชายของท่านอาศัยอำนาจของท่านเสนารบกวนข้าไม่รู้จบ เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้รายงานต่อฝ่าบาทด้วยซ้ำ ท่านเสนาก็มาตัดสินโทษข้าแล้ว จะไม่รีบร้อนเกินไปหน่อยหรือ”
ความคิดของกวนเมิ่งถิงถูกเปิดโปง แต่ใบหน้ากลับไม่มีเค้าลางแห่งความขุ่นเคือง เขาพูดเบาๆ “กล่าวผิดแล้ว สิ่งที่พวกเรากำลังพูดถึงในวันนี้คือเรื่องที่เจ้าปลอมตัวปะปนในวังหลวง ไยจึงต้องเบี่ยงประเด็น และดึงความเกลียดชังไปที่อื่น พฤติการณ์ที่เจ้าปกปิดไว้จนถึงตอนนี้ หรือว่ามีจุดมุ่งหมายที่จะลอบสังหารองค์ฝ่าบาท”
มุมปากของไทเฮายกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววเยียบเย็นอีกครั้ง ชี้ไปที่ปลายจมูกของอินชิงเสวียน แล้วพูดว่า “ถูกต้อง เจ้ามีเจตนาใดกันแน่”
เย่จิ่งอวี้ได้เดินลงบันไดมายืนอยู่ข้างอินชิงเสวียน
เรียวตาหงส์คู่หนึ่งกวาดมองเหล่าขุนนาง กล่าวเสียงก้องกังวาน “นี่เป็นความประสงค์ของข้า!”
ฉับพลันนั้นเองขุนนางทุกคนก็สับสน ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ไทเฮาหน้าซีดในทันใด พูดด้วยความเดือดดาล “ข้าตรวจสอบรู้แต่แรกแล้วว่านางคืออินชิงเสวียน นางปลอมตัวปะปนเข้ามาในวังนับว่ามีความผิดโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูง ฮ่องเต้กลับต้องการแก้ตัวแทนนาง ไม่กลัวโดนผู้คนหัวเราะเยาะหรือ”
“หัวเราะเยาะสิ่งใด”
เย่จิ่งอวี้โอบแขนรอบตัวอินชิงเสวียน พูดด้วยกระแสเสียงเย็นชา
“หลิวเสวียนเป็นอนุชายาเมื่อครั้งที่ข้ายังเป็นรัชทายาท เดิมทีข้าต้องการรับนางเข้าวังทันทีที่ข้าขึ้นครองบัลลังก์ แต่จนใจที่ถูกไทเฮาขัดขวางทุกวิถีทาง จะให้ข้าแต่งตั้งลู่จิ้งเสียนเป็นฮองเฮาให้ได้ เพื่อความเป็นเสถียรภาพแห่งอำนาจของตระกูลลู่พวกท่าน ข้ากลัวว่าหลิวเสวียนจะถูกผู้อื่นทำร้ายด้วยความริษยา จึงให้นางปลอมตัวเป็นขันทีติดตามอยู่ข้างกายข้า ในเมื่อข้ารู้แต่แรกแล้ว หาใช่การหลอกลวงเบื้องสูงไม่!”
นิ้วเรียวที่วางบนไหล่กดลงเล็กน้อย ราวกับกำลังบอกอินชิงเสวียนว่าไม่ต้องกลัว
อินชิงเสวียนอดหันไปเสียมิได้ เพื่อมองไปยังใบหน้าคมสันดวงนั้น
ดูเหมือนในหัวใจจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่สามารถอธิบายหรือเข้าใจได้
แม้ว่าระหว่างที่เดินมา หลี่เต๋อฝูจะบอกนางว่าให้พูดอย่างไร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหน้าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ อินชิงเสวียนก็ยังคงเป็นกังวล มีเหงื่อไหลออกมาจนเต็มฝ่ามือไปหมด
ทว่าขณะที่เย่จิ่งอวี้จับไหล่ของนาง หัวใจของอินชิงเสวียนก็สงบลงอย่างน่าประหลาด
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ นางคือฮ่องเต้ เป็นผู้ครองราชย์ในรัชสมัยนี้!
แม้ว่านางจะตกเป็นเป้าของทุกคน แต่เขาก็ยังสามารถช่วยนางรับมือได้!
อินชิงเสวียนถอนสายตากลับ อยู่ๆ ก็เริ่มรู้สึกแสบจมูก
นอกจากย่าแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็เป็นคนที่สองที่เต็มใจปกป้องนาง...
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์
ยังอัพไม่จบเลย หลายเรื่องเลย อัพมาครึ่งทางแล้วทำไมหยุดอัพดื้อๆค่ะ...
จะอัพเมื่อไหร่คะ...
มาต่อเร็วๆนะแอด...
หยุดอีกแล้ว...
กระหม่อม หม่อมฉัน สลับมั่วไปหมด...
มาอ่านต่อกันเร็วๆ แอดกลับมาอัพต่อแล้ว ขอบคุณค่ะ...
สนุกมาก น่าติดตามมาก เขียนและแปลได้ดีจริงๆ ดีใจที่กลับมาลงต่อ อัพเดตเรื่อยๆ วันละหลายๆ ตอน นะคะ...
หยุดชะงักลงตรงบทนี้ ต่อหรือพอเพียงแค่นี้😁...
หยุดแค่นี้หรือไปต่อ😁...
อัพต่อรออยู่ค่ะ...