สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 205

เย่จิ่งอวี้สวมชุดลำลองเดินเข้ามาจากด้านนอก ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ประดับด้วยรอยยิ้มของเขานั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นดั่งต้องลมยามวสันต์

เย่ไห่ถังรีบวิ่งไปราวกับจะถวายสมบัติล้ำค่า

“เสด็จพี่ใหญ่ เสด็จพี่สะใภ้มอบถ้วยแก้วแก้วเคลือบสีให้ข้าชุดหนึ่ง”

อินชิงเสวียนกุมหน้าผากตัวเองอย่างอดไม่ได้

หลังจากนั้นไม่นาน เย่จิ่งอวี้ก็ต้องถามอีกแน่ๆ ว่า สิ่งนี้มาจากที่ใด

“โอ้? ขอข้าดูหน่อยสิ”

เย่จิ่งอวี้หยิบกล่องขึ้นมาเปิดออก ดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจ

ถ้วยแก้วเคลือบสีชุดนี้สวยงามมาก ใสแวววาว แกะสลักด้วยลวดลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน พอมองแวบแรก ก็มองออกได้ว่าต้าโจวไม่สามารถผลิตขึ้นได้

เขาอดไม่ได้ที่จะมองดูอินชิงเสวียน

อินชิงเสวียนไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “หม่อมฉันได้เตรียมไว้สำหรับฝ่าบาทด้วย เหมือนกับขององค์หญิงทุกประการ”

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

“สนมรักมีน้ำใจแล้ว”

คำพูดแสดงความรักเหล่านี้ทำให้ อินชิงเสวียนร้องอุทานออกมาด้วยความขนลุก

ด้านหนึ่งเรียกนางว่าสนมรัก แต่อีกด้านกลับสงสัยนาง

ปากผู้ชาย พูดได้แต่คำโกหกจริงๆ!

เย่ไห่ถังรีบคว้ากล่องกลับคืนทันที

“ข้าอยากกลับไปใช้ชุดน้ำชานี้แล้ว ไม่อยู่เล่นกับเสด็จพี่ใหญ่แล้ว อวิ๋นเฟิง ไปกันเถอะ”

เย่ไห่ถังมาเร็ว ตอนไปก็รวดเร็วพอกัน นางหยิบของแล้วหายตัวไปทันที

เย่จิ่งอวี้เหลือบมองน้องสาวของเขาอย่างช่วยไม่ได้ นัยน์ตาเจือรอยยิ้มรักใคร่ประคงประหงม

เมื่อหันกลับมา เขาก็อุ้มเอาเสี่ยวหนานเฟิงจากมือของอวิ๋นฉ่าย

จูบใบหน้าเล็กๆ กลมๆ ของเขา แล้วถามเบาๆ ว่า “จ้าวเอ๋อร์ วันนี้เจ้าเป็นเด็กดีหรือไม่ ทำให้แม่เจ้าโกรธหรือเปล่า”

อินชิงเสวียนกลอกตามองบน เสี่ยวหนานเฟิงทำตัวดีกว่าพ่ออย่างเขาอีก

เสี่ยวหนานเฟิงไม่เข้าใจสิ่งที่เย่จิ่งอวี้พูด เขามองไปที่เย่จิ่งอวี้ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง จากนั้นเขาก็เปิดปากและค่อยๆ พูดออกมาหนึ่งคำ

“โกรธๆ”

เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ

“จ้าวเอ๋อร์ไม่โกรธนะ พ่อจะเล่านิทานให้ฟัง”

เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้อุ้มลูกเข้าไปในห้องโถงด้านใน อินชิงเสวียนจึงถือโอกาสเข้าไปในมิติ แลกถ้วยชาแก้วเคลือบสีอีกชุดหนึ่ง แล้วถือตามเข้าไปในห้อง

โชคดีที่องค์หญิงให้ก้อนทองหยวนเป่ามาแล้ว ไม่งั้นคงขาดทุนแย่

“สิ่งนี้หม่อมฉันมอบให้ฝ่าบาทเพคะ”

นางวางกล่องไว้บนโต๊ะ แล้วเย่จิ่งอวี้ก็ถามอีกครั้ง “อย่าบอกนะ ว่าลูกพี่ลูกน้องของเจ้าได้สิ่งนี้มาจากการเดินทางไปทำการค้าอีกน่ะ”

อินชิงเสวียนยิ้มเขินๆ แล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วแลกมาจากแคว้นฮว๋าเซี่ยน่ะเพคะ แต่ไม่ได้มาจากลูกพี่ลูกน้องของหม่อมฉัน กล่าวคือแค่ฝ่าบาททรงโปรดก็พอแล้ว เหตุใดจึงต้องถามคำถามมากมาย”

เย่จิ่งอวี้เหลือบมองนางแล้วพูดอย่างมีความหมาย “เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องมีความสงสัยบ้าง จะได้มีชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้น”

อินชิงเสวียนกล่าวคล้อยตามคำพูดว่า “ใช่แล้วเพคะ ฝ่าบาทเป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวาง ย่อมมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบได้ หม่อมฉันนับถือ”

เย่จิ่งอวี้นั่งบนเก้าอี้โดยที่ยังอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ จับมือป้อมๆ ของเขา แล้วพูดว่า “เพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่านายหญิงจากตำหนักต่างๆ มาเยี่ยมเจ้าได้ ข้าจึงตัดสินใจเปิดตำหนักจินหวู เจ้าจะได้ไม่ต้องโดดเดี่ยวในตำหนักเพียงลำพัง”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เข้าใจ”

เปิดประตูตำหนักได้ก็เป็นเรื่องที่ดี นางจะได้ขายสินค้าง่ายขึ้น ทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็ผุดความคิดแปลกใหม่ ถ้าหากเปลี่ยนให้ตำหนักจินหวูกลายเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ได้ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร

“ไม่ต้องเกรงใจ”

สายตาของเย่จิ่งอวี้หันมองกวาดใบหน้าเล็กๆ จิ้มลิ้มนั้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หากเจ้ามีความต้องการใดอีก ก็บอกข้า”

อินชิงเสวียนโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วพูดว่า “หม่อมได้พำนักในตำหนักจินหวู ก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งแล้ว ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดจะขอ นอกจากเลี้ยงดูจ้าวเอ๋อร์ให้เติบโต”

เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นมอง “แล้วครอบครัวพ่อของเจ้าล่ะ ไม่คิดถึงบ้างหรือ”

อินชิงเสวียนยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “ในฐานะบุตรี จะไม่คิดถึงบิดาตัวเองได้อย่างไร เพียงแต่ตอนนี้ท่านพ่อของหม่อมฉันได้รับโทษอยู่ ไม่ว่าจะบริสุทธิ์หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับฝ่าบาททั้งหมด”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์