สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ นิยาย บท 21

เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นยืนตัวตรง เขาละสายตาไปยังที่อื่น เผยให้เห็นถึงท่าทางที่ยากจะเข้าถึง

"ข้าแค่เพียงกำลังสงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงสามารถคิดสิ่งที่วิเศษเช่นนี้ออกมาได้"

อินชิงเสวียนถอดหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นจึงได้พูดต่ออย่างเด็ดเดี่ยวและผึ่งผายว่า "บ้านเมืองจะรุ่งเรืองหรือฉิบหาย ทุกคนล้วนมีส่วนต้องรับผิดชอบ ถึงบ่าวจะเป็นคนต่ำศักดิ์ แต่ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อแผ่นดินได้ ดังนั้นจึงพยายามคิดหาวิธีการออกมาให้ได้ ส่วนเรื่องที่มันจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ก็ต้องให้ฝ่าบาทเป็นผู้พิจรณาอีกที"

เย่จิ่งอวี้ตกตะลึงไปชั่วขณะ เขารู้สึกเหมือนไฟในใจถูกจุดให้ลุกโชน

คิดไม่ถึงเลยว่าขันทีตัวเล็กๆ จะสามารถพูดอะไรที่มีความหมายยิ่งใหญ่เช่นนี้ออกมาได้

หากว่าขุนนางทุกคนในต้าโจวมีความคิดเช่นเดียวกับเขาได้ เช่นนั้นแผ่นดินนี้ก็คงไม่มีความเดือดร้อนอีก

เสียดายเพียงแค่ เขาเป็นชายที่ถูกตอนแล้ว ไม่สามารถแต่งตั้งให้รับตำแหน่งในราชการได้ ไม่เช่นนั้น...

เมื่อเห็นว่าสายตาของเย่จิ่งอวี้เป็นประกาย ฉายแววประหลาด อินชิงเสวียนจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อ

ด้วยฐานะของเธอตอนนี้ จะต้องไม่พยายามเป็นจุดสนใจ ดังนั้นเธอไม่สามารถพูดอะไรออกไปโดยไม่ยั้งคิดได้

เธอรีบโบกมือไล่เย่จิ่งอวี้อย่างรวดเร็ว "นี่ก็ดึกมากแล้วหากว่าเจ้านายข้าไม่เห็นข้า คงจะต้องสั่งลงโทษเป็นแน่ พี่ทหารองครักษ์ อีกสามวันเราค่อยเจอกันใหม่นะ"

มองตามหลังของอินชิงเสวียนไป จากนั้นเย่จิ่งอวี้ก็รีบพูดออกมาว่า "ไม่ต้องรอถึงสามวันหรอก พรุ่งนี้มารอข้าอยู่ที่นี่"

อินชิงเสวียนหยุดยืนอย่างสงสัย แล้วถามออกไปอย่างตื่นเต้นว่า "พรุ่งนี้ท่านก็สามารถขายสินค้าออกไปได้แล้วอย่างนั้นหรือ?"

เย่จิ่งอวี้ยกยิ้มมุมปาก

"ข้าอยู่ในวังหลวงมาหนึ่งปีแล้ว ก็พอจะมีเส้นสายอยู่บ้าง"

"ก็ดี ข้าเข้าใจแล้ว"

อินชิงเสวียนจัดหมวกที่เอียงอยู่ให้เข้าที่ จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างดีใจ

เมื่อเห็นท่าทางกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจของเขา เย่จิ่งอวี้ก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาม้วนเก็บกระดาษแบบแปลน แล้วรีบเดินกลับไปยังห้องหนังสือทันที

เขาวางกระดาษแบบแปลนไว้บนโต๊ะหนังสือ จากนั้นก็พิจรณาดูมันอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาเห็นด้านบนกระดาษมีการเขียนหมายเหตุอธิบายโครงสร้างไว้อย่างชัดเจน แค่เห็นก็สามารถเข้าใจได้โดยง่าย

เย่จิ่งอวี้ยิ่งดูก็ยิ่งอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่ามันสามารถสร้างออกมาได้จริง

ถึงแม้การก่อสร้างนี้จะใหญ่ไปสักหน่อย แต่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาให้กับประชาชน

ต่อให้ในอนาคตจะเกิดภัยพิบัติอะไรขึ้นอีก แต่ก็จะไม่ทำให้เกิดสถานการณ์อดอยากที่รุนแรงเช่นนี้ได้

วันถัดมา ในการประชุมขุนนางช่วงเช้า

เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาสักคำเดียว

หลายวันนี้ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางทั้งหลายไปสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินฮว๋าเซี่ย อีกทั้งเมล็ดพันธุ์สำหรับทำแป้งสาลี พวกเขาต่างก็พยายามค้นหากันอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรกลับมาเลย ตอนนี้กลัวเพียงว่าหากฝ่าบาททรงสอบถามขึ้นมา คงไม่มีใครอยากเสี่ยงตอบออกไปเป็นคนแรกแน่

เย่จิ่งอวี้ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ได้สอดส่องสายตาไปทั่วท้องพระโรง ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

"วันนี้พวกเจ้าต่างก็กลายเป็นคนใบ้กันหมดแล้วหรือยังไง?"

เสนากวนเมิ่งถิงกระแอมไอแห้งๆ ก่อนจะกราบทูลว่า "พวกกระหม่อมมิกล้าสู้หน้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ไปสืบหามาตั้งหลายวัน แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบมาให้ได้ว่าแผ่นดินฮว๋าเซี่ยอยู่ ณ ที่ใด ยิ่งเรื่องเมล็ดพันธุ์ของแป้งสาลียิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่"

เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เย็นชาว่า "เช่นนั้นก็ไปหากันต่อสิ หาไปจนกว่าจะเจอคำตอบนั่นแหละ"

"พ่ะย่ะค่ะ"

กวนเมิ่งถิงรีบถอยกลับเข้าตำแหน่งเดิมทันที

เย่จิ่งอวี้มองไปที่เสนาบดีกรมโยธาอีกครั้ง

"แล้วเรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าไปคิดหาวิธีมาล่ะ เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว"

ฉินไฮ่ฉิวเสนาบดีกรมโยธาจำใจต้องเดินออกมารายงาน

"กระหม่อมยังไม่สามารถหาวิธีการได้เลยพ่ะย่ะค่ะ"

นี่เสนาบดีทั้งหกกรมยังสู้ขันทีตัวเล็กๆ ไม่ได้เลยหรือยังไง

เย่จิ่งอวี้มองไปที่เขาอย่างเย็นชา "ข้าพอจะคิดวิธีการออกแล้ว อีกเดี๋ยวเลิกประชุมแล้วให้มาที่ห้องหนังสือข้า"

"พ่ะย่ะค่ะ"

ฉินไฮ่ฉิวรีบถอยกลับประจำตำแหน่งทันที

เดิมทีขุนนางหลายคนคิดอยากจะขอร้องให้ฝ่าบาทรีบเสด็จเยือนหกวัง เพื่อทำการแต่งตั้งตำแหน่งให้กับเหล่าหญิงงามทั้งหลาย แต่เมื่อเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของฝ่าบาทแล้ว พวกเขาจึงได้แค่เก็บเงียบต่อไปเท่านั้น ก็ใครจะกล้าไปแหย่รังแตนเอาตอนนี้ล่ะ

หลี่เต๋อฝูพยายามสอบถามเหล่าขุนนางหลายรอบว่ามีใครจะกราบทูลเรื่องอะไรอีกหรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรเพิ่มอีก จึงได้ประกาศให้เลิกประชุม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์